เมื่อปัญหา “คนกับช้าง” กลายเป็นเรื่อง “คนกับคน”
ระเบิดเวลาชุมชนเขาใหญ่ที่ต้องเร่งหาทางออก
![]()
กำลังจะกลายเป็นปัญหาลุกลามบานปลาย เมื่อบรรดาช้างหนุ่มบนเขาใหญ่ที่โดนเตะออกจากโขลงพากันออกจากป่ามาหากินในชุมชน จากวงรัศมีแคบๆ ก็เริ่มรุกคืบขยายอาณาเขตออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ตำบลหมูสี โป่งตาลอง และพญาเย็น ล่าสุดพบว่าช้าง 5 ตัว ได้เดินออกมาไกลถึงหมู่ต่างๆ เขตตำบลหนองน้ำแดง ในระยะที่อีกไม่ถึง 10 กิโลเมตรก็จะทะลุออกถนนมิตรภาพแล้ว
ไม่เพียงบุกกินพืชผลตามพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน แต่บรรดาช้างหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ยังถือโอกาสปักหลักหาที่หลับนอนในป่าใกล้เคียงชุมชนอย่างสบายอุรา ขณะเดียวกันก็สร้างความอกสั่นขวัญผวาให้กับเจ้าของเรือกสวนไร่นาไปถึงชาวบ้านทั่วไปที่หวั่นว่าจะเกิดความเสียหายเกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของตน
ปัญหาเรื่องคนกับช้างก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เริ่มตึงเครียดแซงหน้าปัญหาคนกับช้างกลับเป็นเรื่องของคนกับคนที่ทำท่าจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยสาเหตุจากความขัดแย้งเรื่องการผลักดันช้างกลับป่า ทำให้ปัญหาช้างยังคงคาราคาซังไม่จบสิ้น
![]()
ขาดแนวทางการจัดการที่ชัดเจนร่วมกัน ปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข
ก่อนที่จะสายเกินแก้ ถึงเวลาที่ทุกคนต้องหันหน้ามาคุยกัน เป็นที่มาของการนัดรวมตัวในบ่ายวันหนึ่งปลายเดือนตุลาคม กำนันตู่-สมศักดิ์ โสมา กำนันตำบลหนองน้ำแดง ได้เป็นตัวกลางในการนัดหมายชาวบ้านหมู่ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเข้ามาร่วมประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กลุ่มอนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมเขาใหญ่ ทีมอาสาผลักดันช้างป่าตำบลหมูสี รวมถึงอาสาสมัครผลักดันช้างจากหมู่ต่างๆ เพื่อหาทางออกร่วมกัน
“ปัญหาตอนนี้คือเมื่อผลักดันช้างออกจากหมู่นี้ มันก็จะไปหมู่นั้น เป็นปัญหาว่าชาวบ้านไม่อยากให้ผลักดันเพราะไม่อยากให้ช้างมาที่ตัวเอง” เสียงจากกำนันตู่แห่งตำบลหนองน้ำแดงกล่าวถึงสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนี้
“ผมพร้อมทำงาน แต่อยากให้ลดอคติ พอผมไล่ออกไปจากที่หนึ่ง ก็โดนจ้องจากอีกที่หนึ่ง แต่พอไม่ไล่ความเสียหายก็เกิด ผมอยากให้ทุกคนลดอคติลง เพราะผมเองแม้เวลาตีหนึ่งตีสองก็ยังมาทำให้” อาสาสมัครผู้หนึ่งที่โดนต่อต้านจากอาสาสมัครบ้านหนองน้ำแดงบอกอย่างท้อแท้
![]()
“ต่างคนต่างอีโก้ ถ้างั้นเอาอย่างนี้ ผมเสนอให้กำนันเป็นแกนหลัก ไม่ใช่ให้ใครทำก็ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว อยากให้นึกถึงชาวบ้านที่เดือดร้อน เราต่างทำงานเรื่องช้างเหมือนกัน ขอให้เราทำเป็นแนวทางเดียวกัน เอาเป็นว่าช้างมาจากไหน ก็ให้กลับไปทางเดิม ฝากถึงพี่น้องเขาวง ถ้าเราไม่สามัคคี ช้างก็จะอยู่กับเขาวงนี่แหละ เพราะมีผลไม้ทุกอย่าง” ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในตำบลหมูสีกล่าว
สารพัดความคิดเห็นที่พรั่งพรูในบ่ายวันนั้น สะท้อนว่าชุมชนในเขาใหญ่ยังขาดเอกภาพในการจัดการปัญหาช้าง รวมถึงความไม่ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ว่าใครกันแน่ที่ต้องเป็นเจ้าภาพในการผลักดันช้าง ระหว่างอุทยานหรือท้องถิ่น ทำให้แต่ละหมู่บ้านขาดทิศทางในการจัดการ
หลายแห่งเจ้าของที่เริ่มใช้ความรุนแรงในการขับไล่ช้าง ไม่ว่าจะเป็นการจุดประทัด โยนระเบิดปิงปอง ไปจนถึงยิงปืนขู่ เพื่อให้ช้างออกจากพื้นที่ของตัวเองโดยไม่สนว่าช้างจะไปที่ไหนต่อ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะผลักดันช้างกลับเข้าป่าไม่ได้แล้ว อาจจะทำให้ช้างเกิดความก้าวร้าวนำไปสู่พฤติกรรมรุนแรงที่ยากจะคาดเดาในอนาคต
![]()
พระมาโปรด คนกลางของความขัดแย้ง
พระอธิการกัมปนาท สุเขธิโต เจ้าอาวาสวัดหมูสี ในฐานะประธานกลุ่มอนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมเขาใหญ่ได้กล่าวขึ้นท่ามกลางชาวบ้านนับสิบที่มารวมตัวกันว่า ตอนนี้ปัญหาช้างป่าขยายวงกว้าง และสร้างความขัดแย้งให้กับประชาชน จึงต้องรีบมาจำกัดปัญหาไม่ให้ขยายออกไปมากกว่านี้
“ถ้าวันนี้ไอ้แคระมาตรงนี้ได้ มันจะพายอดชายมา พอยอดชายกลับไปก็จะไปพาไอ้ฉำฉามา พอฉำฉากับยอดชายมา เดี๋ยวไอ้เบี่ยงก็มา ทีนี้เข้าใจว่าอาสาสมัครหมู่ 5 ตำบลหนองน้ำแดงที่เขาผลักดันออกไป เขาก็ไม่อยากให้ช้างกลับมาอีก แต่ตรงนี้แหละที่จะเป็นปัญหา เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ช้างมาทางไหนมันต้องกลับทางเดิม เข้าใจว่าทุกคนต่างก็รักทรัพย์สินของตัวเอง แต่เราต้องมาทำความเข้าใจกันเพื่อแก้ปัญหาทิศทางเดียวกัน วันนี้คือจุดเริ่มต้น”
พระอาจารย์กัมปนาท นอกจากเป็นประธานกลุ่มอนุรักษ์ฯ ยังเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยช้างป่า เพราะวัดหมูสีก็โดนพังกำแพงบุกเข้ามาหลายครั้งแล้ว
พระอาจารย์ได้แชร์ประสบการณ์จากทีมอาสาสมัครของตำบลหมูสีต่อชาวบ้านหนองน้ำแดงว่า การผลักดันช้างอันดับแรกเราต้องรู้เส้นทางที่มาของช้าง ต้องรู้จุดที่ช้างอยู่ที่แน่นอน การผลักดันต้องทำช่วงกลางวัน หากหมดวันแล้วต้องหยุดแม้จะยังผลักดันไม่ถึงเขตอุทยานก็ตาม นั่นเพราะช่วงเวลากลางคืนจะอันตรายมาก
![]()
“วันนี้มันเริ่มออกหากินวงกว้าง เราต้องควบคุมกลับไปพื้นที่อนุรักษ์ให้มากที่สุด ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ อีกไม่นานมันจะถึงถนนมิตรภาพแล้ว”
นอกจากรู้ตำแหน่งช้าง การรู้จักลักษณะภูมิประเทศก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
“เราต้องเข้าใจบริบทพื้นที่ แล้ววางแผนร่วมกันในการผลักดันสู่พื้นที่ธรรมชาติ โดยทำอย่างไรก็ได้ต้องกวนไม่ให้ช้างได้หยุดพัก ให้มันร่นถอยไปเอง ซึ่งคาดว่าอาจใช้เวลา 2-3 วันถึงจะผลักดันเข้าไปถึงพื้นที่ป่า เพราะช้างเป็นสัตว์ฉลาด”
ขั้นตอนการผลักดันเริ่มจาก
1.ต้องมีกำลังชุดเดินเท้าที่มีอุปกรณ์ผลักดัน
2.กำลังรถยนต์ ที่จะต้องปิดกั้นเส้นทางกดดัน สามารถใช้รถไถ หรือรถยนต์
3.โดรนอย่างน้อย 5 ลำ (โดรนตอบโต้ภัยพิบัติลำใหญ่)
![]()
“เมื่อเรารู้ว่ามันนอนตอนไหนเราต้องเข้าไปกวนตอนมันนอน จะทำให้มันรู้ว่าที่มันนอนไม่ปลอดภัยแล้ว แต่เราต้องทำเป็นระบบ ชุดทำงานต้องมาประชุม ต้องขีดว่าจะให้ไปทิศทางไหน แค่ไหน แต่ไม่ใช่จะสำเร็จทันทีตามแผนที่วางไว้ อาจจะพลาดได้ ทุกอย่างต้องเผื่อ และเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ”
แม้ว่าการทุ่มเทสรรพกำลังอาจจะไม่สำเร็จในวันเดียว แต่มันคือวิธีการที่ปลอดภัยต่อคนและสัตว์มากที่สุด แต่หากเราใจร้อนผลักดันแบบไม่กำหนดทิศทาง และผิดวิธี ก็อาจจะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นได้
“ตอนนี้ช้างเขามองเราเป็นเพื่อนร่วมโลก แต่ถ้าวันหนึ่งเขามองเราเป็นศัตรูเขาจะเข้ามาทำร้าย เราคงไม่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมเขาให้มองเราเป็นศัตรู เขามีพละกำลังมากกว่าเรา และจดจำได้ดี ฉะนั้นวันนี้ขอให้พวกเรามาร่วมมือร่วมใจ อยากให้เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนความคิด หาแนวทางเดียวกัน ไม่ใช่หมู่บ้านฉันหมู่บ้านเธอ เพราะแบบนี้ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย”
![]()
กมธ.แก้ปัญหาช้างย้ำ กฎหมายกระจายอำนาจมีแล้ว ท้องถิ่นทำเรื่องสัตว์ป่าได้
นอกจากการการประชุมในท้องถิ่นด้วยกันเอง เรื่องการแก้ปัญหาช้างยังมีเวทีระดับนโยบาย ซึ่งเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการ การเพิ่มศักยภาพภาคีเครือข่ายเพื่อการจัดการช้างป่าอย่างยั่งยืนของกลุ่มป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ ที่จัดโดยสมาคมสัตววิทยาแห่งลอนดอน (ZSL) สมาคมนิเวศยั่งยืน (Ecoexist Society) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ และมูลนิธิฟรีแลนด์ โดยปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว
โดยในปีแรกได้ข้อสรุปร่วมกันเรื่องปัญหาช้างออกนอกพื้นที่ และความเสียหายทางการเกษตร และท่องเที่ยว ปีที่สอง ได้ข้อสรุปเรื่องข้อตกลงและบันทึกความร่วมมือในหลักการคนปลอดภัย ช้างปลอดภัย เคารพคน เข้าใจช้าง ล่าสุดปีที่สาม ข้อเสนอในการจัดตั้งคณะทำงานช้างป่า เพื่อร่วมกันสำรวจเส้นทางควบคุมช้างป่าอย่างมีส่วนร่วม พร้อมกับติดตั้งกล้องตามจุดสำคัญเพื่อเตือนภัยชุมชน
![]()
ดิเรก จอมทอง เลขานุการ กมธ.วิสามัญแก้ปัญหาช้างป่าของรัฐสภา ชุดที่ 26 หนึ่งในผู้ร่วมเสวนาได้กล่าวถึงสภาพปัญหาในปัจจุบันที่ท้องถิ่นยังขาดความเข้าใจในเรื่องขอบเขตอำนาจในการแก้ปัญหาช้างป่าว่า จากการประชุมของคณะกรรมาธิการ พบว่าท้องถิ่นยังขาดความเข้าใจทั้งเรื่องการจัดทำแผนแก้ปัญหาช้างป่าเพื่อนำไปสู่งบประมาณ รวมถึงองค์ความรู้ในการจัดการสัตว์ป่าในหลายๆ เรื่อง
“การประชุมไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง เราได้เชิญทั้งกรมปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการกระจายอำนาจ สำนักงบประมาณมาหารือ สุดท้ายสรุปว่าท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อมในเรื่ององค์ความรู้ต่างๆ ตอนนี้กรรมาธิการจึงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำคู่มือขึ้นมา ทั้งเรื่องขององค์ความรู้จัดการสัตว์ป่า แผนการจัดการ เรื่องไหนเป็นภารกิจหลัก เรื่องไหนท้องถิ่นทำ ซึ่งคู่มืออยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข คิดว่าเร็วๆ นี้จะออกมา แล้วเวียนให้ อปท.ทั่วประเทศรับทราบโดยทั่วกัน”
![]()
ประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจ ด้านการจัดการสัตว์ป่า 6 เรื่องหลัก
สำหรับคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นองค์กรหลักภายใต้พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ได้ออกประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจ ด้านการจัดการสัตว์ป่า ประกอบด้วย
1.แผนและโครงการ ท้องถิ่นสามารถจัดทำแผนงานหรือโครงการในการแก้ปัญหาสัตว์ป่าที่ก่อให้เกิดผลกระทบ หรือ สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2.ข้อมูล ติดตาม ประชาสัมพันธ์ ท้องถิ่นสามารถจัดให้มีการรวบรวมข้อมูล และติดตามสถานการณ์ รวมถึงการประชาสัมพันธ์และประสานงานการแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ
3.ระบบแจ้งเตือน ท้องถิ่นสามารถจัดให้มีระบบแจ้งเตือนและการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันสัตว์ป่าออกมารบกวน หรือ สร้างความเดือดร้อนแก่ชีวิตความอยู่ของประชาชน รวมถึงการจัดให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ควบคุมสัตว์ป่า มิให้สัตว์ป่าออกมารบกวนหรือสร้างความเดือดร้อนแก่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
4.เครือข่ายเฝ้าระวัง ท้องถิ่นสามารถจัดตั้งหรือสนับสนุนเครือข่ายอาสาสมัครในการเฝ้าระวังสัตว์ป่าออกมารบกวน หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
5.การช่วยเหลือสัตว์ป่า ท้องถิ่นสามารถช่วยเหลือสัตว์ป่าตามหลักวิชาการ และอาจจัดให้มีสถานอนุบาลสัตว์ป่าเพื่อทำการช่วยเหลือ ดูแลรักษา และการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
6.ปรับปรุงแหล่งอาศัย ท้องถิ่นสามารถดูแลและปรับปรุงพื้นที่แหล่งอาหารตามธรรมชาติของสัตว์ป่า จัดให้มีพื้นที่แหล่งอาหารของสัตว์ป่าตามความจำเป็นและเหมาะสม
![]()
การแก้ปัญหาช้างต้องใช้หลายกลไก ทำยากแต่ต้องทำ
“เราผ่านเวทีประชุมลักษณะอย่างนี้ทั่วประเทศ บ่อยจนไม่รู้จะประชุมอะไรแล้ว แต่ทำไมปัญหาช้างป่าไม่ดีขึ้น ผมอยู่วงการช้างกุยบุรี ผมขอตอบคำถามที่ตัวแทนตำบลหนองน้ำแดงถามว่า ได้ถามท้องถิ่นก่อนไหมที่จะให้ท้องถิ่นทำ และสิ่งนี้เป็นการแก้ปลายเหตุไหม ผมขอตอบแบบนี้ อปท.ส่วนใหญ่อยากมีส่วนร่วมแก้ปัญหา เพียงแต่เขาอยากได้เครื่องมือมาแบ็คอัพ โดยที่เขาไม่ผิดกฎหมาย ส่วนว่าเป็นเรื่องแก้ปลายเหตุไหมนั้น จะถูกก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะจากต้นเหตุคือเราไม่รู้ว่าช้างมันเกิด แล้วเราควบคุมการเกิดไม่ได้ เราเคยเสนอให้ฉีดวัคซีนชะลอการเกิดมาแล้ว แต่โดนทัวร์ลงชนิดที่ไม่มีที่จอดเลย ฉะนั้นกลไกการแก้ปัญหาช้าง ไม่ใช่แค่ช้าง เราต้องแก้ความรู้สึกคนในสังคมด้วย มันต้องใช้หลายกลไก ทำยาก แต่ก็ต้องทำ” เลขานุการ กมธ.วิสามัญแก้ปัญหาช้างป่ากล่าว
![]()
โดยระบุว่าสิ่งที่ท้องถิ่นกังวลเรื่องการใช้งบประมาณนั้น จากการที่กรรมาธิการเชิญสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมาชี้แจง ได้ข้อสรุปว่า ท้องถิ่นสามารถทำได้ แต่ต้องเขียนให้ชัดเจนในแผนงานว่าจะทำอะไรบ้าง แล้ว สตง. ก็จะตรวจสอบตามนั้น แต่ถ้าไม่ได้เขียนไว้ตั้งแต่แรก แม้ในทางปฏิบัติเป็นสิ่งดี แต่หากมีการนำงบประมาณไปใช้จ่ายก็จะเป็นเรื่องผิด ดังนั้นต้องเขียนแผนให้ละเอียดตั้งแต่แรก
“เรามีกฎหมาย แต่แนวทางปฏิบัติเราไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจทั้งโดยสุจริต และเจตนาจะไม่เข้าใจก็มี เพราะไม่อยากทำ บาง อปท. ต้องการเก็บเงินตัวเองที่มีน้อยนิดไว้สำหรับภารกิจของตัวเอง แล้วบอกว่าเรื่องสัตว์ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่อุทยานเองก็เอาไม่อยู่ เพราะบุคลากรมีจำกัด และภารกิจที่มากมาย จึงต้องอาศัยท้องถิ่นให้เข้ามาช่วย ผมมองว่าเวทีเล็กๆ แบบนี้สามารถสร้างความเข้าใจกันได้และลงมือทำได้เลย แต่ต้องมีความเข้าใจระหว่างกัน”
![]()
ได้ข้อสรุปแผนติดตั้งกล้องเตือนภัยช้างป่า โยนไอเดียตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนปัญหาช้างป่าอย่างเป็นระบบ
จากการร่วมสำรวจจุดที่ช้างป่าออกนอกพื้นที่ ได้ข้อสรุปจุดที่จะติดกล้องวงจรปิดในเฟสแรกทั้งหมด 5 จุด ได้แก่
1.ต้นน้ำ (ติดแนวเขตอุทยานฯ)
2.โรงคัดแยกขยะ 3.สุดซอย Davinci
4.หลังศูนย์วิจัยผึ้ง
5.ท้ายซอยบ้านใหม่สามัคคี โดยตั้งงบประมาณไว้ที่ 135,500 บาท และระบบเซอร์วิส AI ปีละ 25,000 บาท
ทั้งนี้ทั้งนั้นขั้นตอนยังอยู่ระหว่างการหางบประมาณจากภาคเอกชน
อีกประเด็นสำคัญที่ทำให้ปัญหาช้างยังไม่ไปถึงไหนเพราะยังขาดคณะทำงานหลักที่จะต้องมาคอยติดตามอย่างต่อเนื่อง
พระอาจารย์กัมปนาท กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากการประชุมหลายครั้งหลายเวที พบว่าเมื่อคุยกันจบแล้วก็ต่างคนต่างไป ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น วันนี้จึงอยากฝากว่าเราต้องมีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาช้างป่าเป็นไปในบริบทเดียวกัน
![]()
“หลักการสำคัญต้องมีคณะทำงานเพื่อสร้างระบบขับเคลื่อนแก้ปัญหาช้างป่า ตั้งแต่จังหวัด อำเภอ ตำบล และอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ให้มีคณะทำงานขึ้นมา ที่ผ่านมาพระอาจารย์อยู่กับเรื่องนี้มาพอสมควร ไม่ได้รับการตอบรับจากภาคส่วนใดๆ เลย มีแค่อุทยานที่ร่วมมือกัน แต่ส่วนอื่นๆ บอกได้เลยว่าแค่อ้าปากก็บอกว่าไม่มีงบประมาณ ถามว่าทำไมท้องถิ่นไม่เขียนแผน ในเมื่อ พ.ร.บ. กระจายอำนาจก็มี ท้องถิ่นก็บอกว่าไม่รู้จะเขียนยังไง ปัญหาก็วนไปวนมา จึงอยากให้มีการจัดตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาระดับท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้ซักที”
ขณะที่การแก้ปัญหาคนกับช้างยังริบหรี่ ปัญหาคนกับคนยังถาโถมเข้ามาใส่ ถึงเวลาหรือยังที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มิฉะนั้นเขาใหญ่ที่แสนสงบ วันหนึ่งอาจต้องเผชิญกับความน่ากลัวของระเบิดเวลาที่เราทุกคนคงไม่อยากให้เกิดขึ้น
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต
![]()
