คุยเรื่องนกกับ “สุธี ศุภรัฐวิกร”
นักธรรมชาติวิทยา ผู้รู้รอบที่โลกต้องการ
ไม่เพียงความรู้ลึกเฉพาะด้านประการเดียวเท่านั้นที่มีความสำคัญต่อการพัฒนา แต่การรู้รอบด้านครบทั้งมิติก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้การขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ บรรลุสู่เป้าหมายได้
แวดวงการอนุรักษ์ก็เช่นกัน หากมีคนที่เข้าใจครบถ้วนทั้งบริบทแล้ว การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายย่อมเป็นไปได้ไม่ยากนัก
ทีม Khaoyai Connect ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “สุธี ศุภรัฐวิกร” นักดูนก นักอักษรศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา อดีตนายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยในบ่ายวันหนึ่ง ระหว่างการอบรมดูนกให้กับพนักงานของ Maison Mystique โรงแรมสไตล์ยุโรปในอ้อมกอดของเขาใหญ่
![]()
การบรรยายวันนั้น อาจารย์สุธีปูพื้นเรื่องของธรรมชาติเป็นเวลาหลายชั่วโมง กว่าจะเข้าสู่เนื้อหาเรื่องนกก็ปาเข้าไปตอนใกล้เที่ยง เพราะนี่คือพื้นฐานที่ผู้บรรยายมองว่าผู้ที่สนใจดูนกทุกคนควรต้องรู้
“ธรรมชาติคืออะไร” คำถามสั้นๆ จากอาจารย์สุธีถึงบรรดาพนักงานที่นั่งฟังตาแป๋วอย่างตั้งอกตั้งใจ
“สิ่งที่เกิดขึ้นเองที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นมา” พนักงานคนหนึ่งยกมือตอบ
ผู้ถามยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่จะอธิบายเพิ่มเติมว่าธรรมชาติประกอบกันด้วยภาคทั้ง 4 ภาค ได้แก่ 1.ธรณีภาค คือ ดิน หิน กรวด ทราย และ ภูมิประเทศต่างๆ 2.อุทกภาค คือ น้ำ 3.บรรยากาศภาค คือ บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก 4.ชีวภาค คือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมด
![]()
“เมื่อเราบอกว่าเราอยากศึกษาธรรมชาติก็ต้องศึกษาทั้ง 4 ภาค คนส่วนใหญ่มองแค่ทิวทัศน์ข้างทาง พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก แต่มันมากกว่านั้น ฉะนั้นเมื่อสนใจศึกษาธรรมชาติเราต้องเข้าถึงให้ได้ทั้ง 4 ภาค ที่เขาใหญ่ก็เช่นกัน”
ไม่ทันปล่อยความเงียบในห้องประชุมได้ทำงาน อาจารย์สุธี ยิงถามต่อ “ใครรู้บ้างว่าบริเวณที่ตั้ง “เมซงมิสทีก” บ้านเขาวง ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ติดกับเทือกเขาอะไร”
เสียงตอบเจื้อยแจ้วอยู่พักใหญ่ กระทั่งถึงคำตอบที่ถูกต้อง “เทือกเขาสันกำแพง”
อาจารย์สุธีพยักหน้า ก่อนจะขยายความต่อว่า เมซงมิสทีก ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช เป็นที่ราบสูงที่มีภูเขาอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นแม่น้ำโขง โดยเทือกเขาที่กั้นขอบที่ราบสูงโคราช ทางด้านตะวันตกเป็นเทือกเขาเพชรบูรณ์ (ต้นกำเนิดแม่น้ำป่าสัก) ที่ต่อลงมาจากเทือกเขาหลวงพระบาง ถัดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ คือเทือกเขาพังเหย ถัดจากเทือกเขาพังเหย คือเทือกเขาดงพญาเย็น(ชื่อเดิมดงพญาไฟ) ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และต่อลงไปทางด้านใต้ คือเทือกเขาสันกำแพง ถัดจากเทือกเขาสันกำแพง คือเทือกเขาพนมดงรัก
![]()
เทือกเขาสันกำแพงนี้รวมถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 4 จังหวัด 3 ภาค คือ ภาคอีสาน ได้แก่ จ.นครราชสีมา ภาคกลาง ได้แก่ จ.สระบุรี และ จ.นครนายก ภาคตะวันออก ได้แก่ จ.ปราจีนบุรี
“ทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงที่คนแถวนี้ต้องตอบให้ได้” ผู้บรรยายกวาดสายตาไปทั่วห้องพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ขณะที่ผู้ฟังเริ่มเหงื่อตกกับภารกิจใหม่ที่ได้รับ
หลังจบการบรรยายพอมีเวลาได้นั่งพูดคุยสบายๆ ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิลของเขาใหญ่กับนักดูนกชั้นครูผู้เจนจัดในเรื่องธรรมชาติ ถึงกระแสความนิยมในกิจกรรมการดูนกในวันนี้
สำหรับนักดูนกแล้ว เขาใหญ่มีความโดดเด่นอย่างไร?
ด้วยพืชพรรณธรรมชาติของป่าเขาใหญ่ส่วนมากเป็นป่าดิบแล้ง ฉะนั้นป่าดิบแล้งพันธุ์ไม้จะหลากหลาย นกก็จะมีความหลากหลายเช่นกัน เท่าที่มีเช็คลิสต์น่าจะเกิน 100 ชนิด เพราะป่าอุดมสมบูรณ์ นกประจำถิ่นเยอะ นกอพยพก็มากันตอนฤดูหนาวในช่วงที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดมา
![]()
นกเด่นที่เขาใหญ่มีชนิดไหนบ้าง
ที่แน่ๆ มีนกเงือก 4 ชนิด ได้แก่ นกกก นกแก๊ก นกเงือกกรามช้าง และนกเงือกสีน้ำตาลคอขาว ส่วนนกเด่นอื่นๆ จะมีนกขุนแผน ทั้งขุนแผนอกสีส้ม และขุนแผนหัวแดง เป็นนกที่นักดูนกชอบดู ส่วนนกกระเต็นก็จะมีนกกระเต็นลาย เป็นนกที่ชอบอยู่ป่า นกแต้วแล้ว ซึ่งช่วงนี้(ตุลาคม) เป็นช่วงที่นกแต้วแล้วธรรมดา แต้วแล้วอกเขียว จะบินอพยพเข้ามาประเทศไทยเพื่อทำรังวางไข่ ก็จะมีโอกาสเจอที่เขาใหญ่เช่นกัน ส่วนนกแต้วแล้วที่ประจำถิ่นอยู่แล้วที่เขาใหญ่ คือ แต้วแล้วสีน้ำเงิน หรือ Blue Pitta
![]()
เขาใหญ่ก็ยังมีนกประจำชาติของไทยด้วย คือ “ไก่ฟ้าพญาลอ” จะพบได้บนเส้นทางขึ้นเขาเขียว นอกจากนี้ยังมีนกโกโรโกโส อีกชนิดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวอยากดู เนื่องจากเขาเขียวมีถึง 3 ลูกด้วยกัน และมีช่วงที่เป็นป่าดิบเขา โดยเฉพาะที่ความสูงประมาณ 1,000 เมตร ทั้งป่าจะเปลี่ยนเป็นป่าดิบเขา ที่นี่จึงมีนกป่าดิบเขาประจำถิ่นเขาเขียว เช่น อินทรีดำ นกเขาลายใหญ่ นกปีกแพรสีเขียว
ส่วนนกหากินกลางคืนจะมีนกเค้า นกตบยุงยักษ์ จะเห็นช่วงค่ำๆ บินแถวหนองขิงบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ส่วนตอนบ่ายที่หนองขิงจะมีนกแอ่นใหญ่หัวตาขาวบินพุ่งตัวลงไปเล่นน้ำ
แล้วก็ยังมีนกกินแมลงหัวแดงเล็ก ซึ่งจริงๆ นกชนิดนี้โดยมากจะพบทางภาคตะวันออก และภาคใต้ แต่ก็แพร่กระจายมาถึงเขาใหญ่ อีกชนิดหนึ่งที่อยู่ภาคตะวันออก คือ นกกินปลีคอสีม่วง ก็แพร่กระจายมาถึงเขาใหญ่เช่นกัน
แล้วเขาใหญ่มีนกกะรางหลายชนิดนะ อย่างเช่น นกกะรางหัวหงอก นกกะรางสร้อยคอใหญ่ แต่ว่านกที่หายากหน่อยคือ นกกะรางคอดำ หรือ ซอฮู้ เพราะว่าเป็นนกที่สมัยก่อนเขาเอาไปเลี้ยง ราคาแพง และร้องเพราะมาก แต่ไม่ใช่กระรางหัวขวานนะ นั่นเป็นนกคนละวงศ์ เขาใหญ่มีกะรางแค่ 3 ชนิดนี้
![]()
ส่วนนกอพยพที่เด่นๆ ที่เคยมา แต่ตอนนี้หายาก คือ นกขมิ้นขาว เพราะว่านกขมิ้นขาวทำรังวางไข่ที่ประเทศจีน พอถึงฤดูหนาวก็บินลงมาทางใต้ แต่ที่ประเทศจีนก็ไม่เจอรัง ถือว่าหายากแล้ว แต่เมื่อก่อนจะเจอที่เขาใหญ่ประจำ
เรียกได้ว่าเขาใหญ่ คือ สวรรค์นักดูนก?
ผมไม่ถืออย่างนั้นนะ ผมไม่เคยมีที่ไหนพิเศษ ผมคิดแบบนั้น แต่นักดูนกอาจจะคิดอย่างนั้น เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากกว่า แต่บางคนก็บอกว่าแก่งกระจานดีกว่า มันเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน และความพิเศษของการดูนกแต่ละพื้นที่ มันขึ้นกับว่าได้เจอนกที่หายาก หรือ เจอตัวยาก เพราะต่อให้นกที่สามัญก็อาจจะไม่เจอก็ได้ แล้วแต่ละคนชอบนกไม่เหมือนกัน บางคนชอบนกแต้วแล้ว บางคนชอบนกกระเต็น บางคนชอบนกเงือก
ถ้าอย่างนั้นพูดได้ไหมว่าเขาใหญ่เหมาะกับกิจกรรมดูนก ทั้งมือใหม่ และมืออาชีพ
ใช่ เอาแค่นี้พอ ไม่ต้องบอกว่าเป็นสวรรค์(ยิ้ม) เพราะว่าแหล่งดูนกมีหลายแห่ง แต่ว่าเขาใหญ่อาจเป็นแหล่งดูนกแรกๆ เพราะใกล้กรุงเทพฯ แต่แหล่งดูนกแรกของผม คือ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน เพราะเราดูนกทุ่งมาก่อน ก่อนจะดูนกป่า
![]()
จุดเริ่มต้นที่มาสนใจดูนก
จริงๆ สนใจธรรมชาติตั้งแต่เด็ก แต่ที่มาเจาะเฉพาะด้านน่าจะเริ่มตอนมัธยม ตอนนั้นสนใจผีเสื้อและ นก แต่ก็ยังสนใจอย่างอื่นด้วย ตอนเรียนคณะอักษรศาสตร์ ก็ไปซื้อตำราพฤกษศาสตร์ เพื่อเราจะจำแนกต้นไม้ ไปซื้อตำรากีฏวิทยาเบื้องต้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อเราจะจำแนกแมลง ไปซื้อตำราจากคณะประมงเพื่อที่เราจะจำแนกปลา แต่ความสนใจเป็นคนละช่วงเวลา ที่สำคัญคือมองว่าทุกคนต้องมีความรู้เบื้องต้น แต่ปัจจุบันนี้เห็นทุกคนอยากจะไปทางลัด ไม่ได้เริ่มต้นเป็นลำดับขั้นตอน ทั้งที่มันต้องมีพื้นฐาน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
อย่างตอนที่ผมคิดแต่งหนังสือเรื่องเครื่องมือสื่อสารธรรมชาติ แต่ตอนนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ผมจะเริ่มที่ประวัติโลก คือ เราต้องไม่สนใจว่ามันคือวิชาอะไร แต่มองว่าคือความรู้ เราต้องเริ่มตั้งแต่ยังไม่มีโลก ก่อนกำเนิดโลก แล้วเริ่มศึกษาว่าระยะเวลาแต่ละช่วงเมื่อเกิดเป็นโลกขึ้นมา ธรรมชาติอันแรกที่เกิดขึ้นคือ ธรณีภาค ส่วนที่หุ้มห่อข้างนอกเป็นบรรยากาศภาค แล้วน้ำเกิดจากบรรยากาศภาคเป็นฝนก็จะเกิดอุทกภาค เมื่อมีน้ำก็เกิดสิ่งมีชีวิต คือ ชีวภาค นี่เราคือต้องศึกษาตามลำดับแบบนี้ แล้วก็ลงย่อยแต่ละส่วนอีก ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเริ่มจากเซลล์เดียวแล้วจะไปยังไง จนกระทั่งเกิดมนุษย์ มนุษย์สร้างสังคม แล้วก็เกิดดินแดนเกิดอะไรต่ออะไรจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้ภาพรวมหมดแล้ว ต่อไปเราจะเจาะทางไหนก็ได้ เราจะไม่จะพลาดเลย อย่างเรื่องประวัติศาสตร์ ตอนอาจารย์สอนจะสอนเป็นส่วนๆ ไม่เชื่อมโยง ซึ่งความเชื่อมโยงจะทำให้เกิดความเข้าใจ แล้วจะมีความสุขนะ เพราะได้รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ พอเข้าใจก็จะต่อยอดไปที่สูงขึ้นได้ แต่กิจกรรมวันนี้เราก็ไม่รู้เขา(พนักงานเมซงมิสทีก)จะรับแค่ไหน เพราะเขามาจากคนละที่กัน
![]()
ทำไมเราต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้
จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ต้องรู้ที่มาที่ไป รู้จักแหล่งกำเนิด ถึงจะเข้าใจจริงๆ คนส่วนใหญ่มองแค่ตามภาพที่เห็นเท่านั้น แต่ไม่รู้จริงๆ อย่างคำว่าธรรมชาติที่ผมถามว่าหมายถึงอะไร ทิวทัศน์ข้างทาง ทะเล พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก มันไม่ใช่แค่นี้ ทุกอย่างล้วนสัมพันธ์กัน
คุณจะมองธรรมชาติแบบนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ หรือจะมองแบบศิลปินก็ได้ แต่สำหรับผมมองทั้งสองแบบผสมเข้าด้วยกัน
การดูนกก็เช่นกัน ควรเข้าใจธรรมชาติทั้งมิติ ความสัมพันธ์เป็นแบบไหน เพื่อเข้าใจระบบนิเวศ เขาเรียกว่าการสื่อความหมายกับธรรมชาติ หมายความว่าเมื่อเดินทางสู่ธรรมชาติ เห็นอะไรปั๊บเราต้องบอกได้ เช่น ต้นไม้อะไร ดอกไม้อะไร เกี่ยวข้องกับอะไร มันอยู่ในป่าแบบไหน ป่าเขาใหญ่เป็นยังไง เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด ซึ่งการเรียนรู้ เข้าใจ และเชื่อมโยงจะทำให้เกิดหัวใจอนุรักษ์
ตอนนี้ในประเทศไทยไม่มีเครื่องมือสื่อสารธรรมชาติแบบนี้ เพราะมันต้องคนๆ เดียวรู้ทุกเรื่อง แต่ทุกวันนี้เวลาจัดทัวร์จะไปไหน ต้องมีวิทยากรด้านต่างๆ ด้านแมลง ด้านต้นไม้ อะไรแบบนี้ แยกส่วนกัน แต่ผมมองว่าวันนี้เราต้องการคนที่รู้ทุกเรื่องแล้วเอามาบูรณาการบอกเราได้ ซึ่งก็คือนักธรรมชาติวิทยา
ในปัจจุบันกลุ่มดูนกขยายตัวเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน
โดยทั่วไปจะมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนดูนกจริงๆ กับกลุ่มคนถ่ายนก คนถ่ายนกบางคนไม่สนใจเรื่องนกนะ หนังสือยังไม่อ่านเลย สนใจแค่การถ่ายนกเพื่อเอามาโชว์เท่านั้น ก็จะแบ่งกันเป็นกลุ่มต่างๆ มีทั้ง นักดูนกที่ถ่ายรูปนกด้วย แต่บางคนก็ดูนกอย่างเดียว ไม่ถ่าย
![]()
มุมมองเรื่องกิจกรรมดูนกกับการท่องเที่ยว
ต้องมองว่าจะทำยังไงให้เงินเข้าประเทศเราโดยใช้นก ให้นกเป็นทรัพยากรเพื่อการท่องเที่ยว เช่น ถ้าเราโปรโมทนกเพื่อให้คนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย แล้วเราพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศได้ ผมมองว่าพื้นที่เขาใหญ่มีพื้นที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวลักษณะนี้เยอะ เพียงแต่ว่าเราจะใช้ทรัพยากรเพื่อการท่องเที่ยวได้คุ้มหรือไม่ ต้องรู้ว่าเรามีอะไรอยู่ แล้วไม่ใช่รู้แบบผิวเผิน ต้องรู้เรื่องราวด้วย เพราะถ้าจะไปสู่การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ต้องเข้าใจลึกซึ้ง ถ้าบอกแค่ชื่อนก แขกที่มาก็อาจจะเฉยๆ แต่ถ้าบอกเรื่องราว มีความเชื่อมโยงก็จะน่าสนใจมากขึ้น เราควรเล่าเรื่องราวได้บ้าง ไม่ถึงกับรู้ลึกเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่อย่างน้อยต้องรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบพื้นที่เรา เพราะนกแต่ละที่ไม่เหมือนกัน อย่างนกเงือก ที่จีน ญี่ปุ่นไม่มี ขนาดนกตะขาบทุ่ง จีนญี่ปุ่นก็ไม่มี พอเห็นเขาก็ตื่นเต้น
ถือเป็นยุคที่คนหันกลับมาสนใจธรรมชาติมากขึ้นจากการเหนื่อยล้าจากการทำงาน
ก็อาจเป็นไปได้ แต่ผมใช้ชีวิตแบบที่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องให้ทุกวันของเรามีความสุข ไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานอะไร เพราะฉะนั้นแต่ละคนต้องรู้ตัวว่าอยากจะทำงานกี่วัน ที่เหลืออยากทำอะไร อย่างผมสอนหนังสือแค่วันจันทร์ เมื่อก่อนสอนอังคารด้วยก็ได้ แต่ให้สอนวันพุธอีกไม่เอานะ อยากเอาวันนั้นไปเขียนหนังสือ แต่งกลอน ไปวัด แล้วทุกวันนี้ผมแต่งกลอนให้วัดด้วย ตอนนี้ได้ 800 วัดแล้ว คือ เราทำสิ่งที่มีความสุข เพราะแต่ละคนมีสิ่งที่เป็นความสุขไม่เหมือนกัน
![]()
ตั้งแต่เริ่มดูนกเจอนกมากี่ชนิดแล้ว
เพิ่งเจอ 800 กว่าชนิด จากทั้งหมดประมาณ 1,100 พันธุ์ มีบ้างที่สูญพันธุ์ บางทีก็หายาก บางทีไม่ยากแต่ดวงเราไม่เจอ เพราะจริงๆ แล้วเขาบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ถูกลิขิตไว้แล้ว แต่เราก็ไม่รู้อนาคตว่าลิขิตไว้ยังไง ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากผิดหวัง ก็อย่าหวัง
ในวงการนกตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงเยอะ เช่น เรื่องสกุล การจัดลำดับ บางทีชื่อวิทยาศาสตร์ก็เปลี่ยน แล้วจากเดิมเขาจัดหมวดทางร่างกาย แต่ปัจจุบันใช้ดีเอ็นเอที่ลึกกว่าเดิม บางทีรูปร่างหน้าตาคล้าย แต่ดีเอ็นเอมันไม่ได้เป็นญาติมิตรชิดเชื้อกันเลย คนละวงศ์คนละเผ่าก็มี
สำหรับนักดูนกมือใหม่ ต้องเตรียมตัวเบื้องต้นอย่างไรบ้าง
อันดับแรกต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งดูนก เราต้องรู้เส้นทางว่าน่าจะได้พบนกชนิดใดบ้าง และต้องรู้ว่าพืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าชนิดไหน ลักษณะภูมิประเทศเป็นแบบไหน อากาศในช่วงนั้นเป็นอย่างไร กระทั่งต้องเตรียมอาหารไปกินเองหรือไม่
สำคัญอีกอย่างคือการเตรียมอุปกรณ์และการแต่งกาย อุปกรณ์ได้แก่ กล้องสองตา หรือกล้องเทเลสโคป เตรียมเช็คสภาพให้พร้อมสำหรับการดูนก
ส่วนการแต่งกายสำหรับการดูนกนั้นมีสีต้องห้ามที่ไม่ควรใส่ด้วย เรียกว่าเป็นสีเตือนภัยของนก ได้แก่ สีขาว แดง แสด ส้ม เหลือง ชมพู หรือสีสดใสอื่นๆ เพราะนกจะมองเห็นได้แต่ไกลแล้วอาจบินหนีไปก่อน
![]()
ส่วนราคาอุปกรณ์ก็อยู่ที่งบประมาณของเรา กล้องสองตามีราคาตั้งแต่สองพันกว่าบาทไปถึงหลักหมื่น
ถึงตรงนี้ คุณจุ๋ม-ภากร กรเลิศวานิช ผู้นำดูนกจาก Bird Life Club ได้เสริมข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการใช้กล้องสองตาว่า กล้องสองตาที่เป็นที่นิยมโดยทั่วไป คือ กำลังขยาย 7 เท่า สูงสุดไม่เกิน 10 เท่า เพราะถ้ามากกว่านี้ภาพจะสั่น เพราะกำลังขยายเยอะเกินไป เพียงแค่เราหายใจภาพก็ไหวแล้ว พอใช้ไปนานๆ เราจะคลื่นเหียนวิงเวียนปวดหัว แต่เราอาจจะเห็นว่ามีกล้องสองตาบางรุ่นกำลังขยาย 30 เท่า อันนั้นเหมาะใช้ในเรือ หรือเอาไว้ในแหล่งท่องเที่ยว เช่นอยู่บนหอคอย โดยมีขาตั้ง เวลาคนมาดูก็สะดวก เพียงเอาตาไปทาบดูได้เลย เหมือนในเรือรบก็ใช้กล้องสองตาที่มีตั้งขาตั้ง
![]()
การใช้กล้องสองตายากง่ายแค่ไหน
วิธีใช้กล้องสองตา เราต้องหักกล้องให้เท่ากับกระบอกตาของเรา วิธีสังเกตว่าสัมพันธ์กับตาเราหรือยัง ให้ดูว่าภาพที่เรามองเห็นมีเงาดำตรงกลางไหม จากนั้นต้องปรับความคมชัดของกล้องแต่ละข้าง ขั้นแรกให้หลับตาขวาลืมตาซ้ายแล้วส่องไปที่ใดที่หนึ่งแล้วปรับโพกัสตรงกลางให้ชัด พอชัดแล้วก็ให้สลับข้าง หลับตาซ้ายลืมตาขวา ยืนที่เดิมส่องที่เดิมแล้วปรับโฟกัสให้ชัดด้วยวงแหวนที่อยู่ใกล้กับเลนตาขวา ปรับไปจนกระทั่งภาพชัด เมื่อชัดแล้วแสดงว่าเราปรับกล้องทั้งความกว้างและโฟกัสสองข้างสัมพันธ์กับตาเราแล้ว การใช้งานครั้งต่อไปไม่ว่าจะส่องใกล้หรือไกลเราก็ปรับโฟกัสตรงกลางอย่างเดียว
ยังมีทริกเพิ่มเติมอีก คือ ปกติคนเราเวลาใช้กล้องใหม่ๆ ปัญหาแรกที่มักเกิดขึ้นคือ เวลาเรามองเห็นนก แล้วหยิบกล้องสองตาขึ้นมาส่อง แต่หานกไม่เจอ นี่เป็นเรื่องปกติ นั่นเพราะกำลังขยายกล้องมีถึง 10 เท่า เลยทำให้สายตาของเราไม่คุ้นเคย พอละสายตาจากนก แล้วก้มมองหากล้อง พอยกกล้องขึ้นมาส่อง เราก็หาไม่เจอแล้วว่านกที่เห็นเมื่อกี้อยู่ตรงไหน ฉะนั้นทริกก็คือ เมื่อเห็นเป้าหมายแล้วสายตาเราไม่ควรละจากเป้าหมาย ให้จ้องเอาไว้ ส่วนมือก็ทำหน้าที่หยิบกล้องมาทาบสายตา พยายามให้แนวกล้องอยู่แนวเดียวกับสายตาที่เรามอง ทริคนี้เป็นเรื่องที่ต้องฝึก พอคุ้นเคยเราก็จะใช้อุปกรณ์ได้เร็วขึ้น
![]()
สำหรับคนที่กำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจที่จะซื้อกล้อง หากเรามีเพื่อนใช้อยู่แล้วให้ไปลองจับดูก่อน เพราะกล้องแต่ละรุ่นแต่ละขนาดไม่เท่ากัน ให้ดูว่าหนักไปไหม ถนัดไหม ใหญ่ไปไหม ปรับโฟกัสลำบากหรือไม่ เพราะบางทีนิ้วคนเราสั้นยาวไม่เท่ากัน
แต่ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าจะชอบหรือไม่ชอบให้ลองซื้อของที่ราคาไม่แพงมาใช้ก่อน พอแน่ใจว่าเราชอบแล้ว คิดว่าใช้ได้ยาว ก็ให้ลงทุนในงบประมาณที่เรารับได้ สิ่งสำคัญต้องเลือกแบบที่กันน้ำได้ เพื่อง่ายต่อการดูแล
ในวันที่มนุษย์เราใช้ชีวิตเร่งรีบเหมือนหนูถีบจักร การดูนกจึงถือเป็นความผ่อนคลาย เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมธรรมชาติที่มาแรงและเข้าถึงได้ไม่ยากนัก ขอเพียงสนใจศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นก่อนสักนิด การดูนกอาจจะกลายเป็นกิจกรรมสุดโปรดของใครหลายคน ที่เข้ามาสร้างสีสันใหม่ๆ ให้ชีวิตพ้นจากความน่าเบื่อได้อย่างไม่น่าเชื่อ
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต
![]()
