ซินโป-หย่งชุน
สองนักแปลรางวัลสุรินทราชา 2568 ผู้สลักเสลาสะพานวัฒนธรรมแห่งตัวอักษร
ในบ่ายแก่ๆ วันหนึ่งของต้นฤดูหนาว (พยากรณ์อากาศบอกว่าอย่างนั้น) เสียงพูดคุยเบาๆ ของลูกค้าในร้านน้ำชาย่านท่าแพถูกตัดออกด้วยไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนทันทีที่กดแอพลิเคชั่นบันทึกเสียง สองนักแปลที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือ “ซินโป-หย่งชุน” คู่หูนักแปลที่เพิ่งได้รับรางวัลสุรินทราชา ประจำปี 2568 มาหมาดๆ
![]()
“หย่งชุน” คือ นามปากกาของ ปานชีวา บุตราช ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากภาควิชาภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
![]()
“ซินโป” คือ นามปากกาของ ประวิทย์ เจริญประวัติ นักแปลอาชีพ
……..
ผมอยากจะเริ่มต้นบทสัมภาษณ์อย่างนี้ เดินทางไปเจอตัวกันเป็นๆ พูดคุยในบรรยากาศของคนกันเอง ทั้งในฐานะเพื่อน ทั้งในฐานะบรรณาธิการและนักแปล เป็นไปได้ก็อยากจะนัดเข้าไปที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งกลางเมืองเก่าเชียงใหม่ ไม่ก็ลืมความจ่อกแจ่กจอแจ แหวกผู้คนไปนั่งกินอาหารเหนือที่ร้านเฮือนเพ็ญ รำลึกอดีต พร้อมแสดงความยินดีกับไมล์สโตนสำคัญในอาชีพนักแปลนี้ผ่านแกงฮังเลและจอผักกาด
แต่ด้วยภารกิจที่ล้นมือยื้อแย่งเวลาไปจากเราจนแทบไม่เหลือ เลยต้องหยิบยืมเวลาจากช่องทางการสื่อสารออนไลน์มาใช้ส่งข้อความพูดคุยกัน เพราะเวลาในพื้นที่แบบนี้มีไม่จำกัด จะตอบเมื่อไรก็ได้ ไม่เร่งร้อน แถมยังสามารถคำตอบได้อย่างถี่ถ้วนรัดกุม มีเวลาคิดก่อนจะพิมพ์เป็นตัวอักษรตอบกลับมา ซึ่งดูไปดูมาก็เหมาะกับสองนักแปลที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีอาการอินโทรเวิร์ทอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ข้อดีเหลือหลายของการสัมภาษณ์เป็นตัวอักษรแบบนี้ ก็ทำให้เราทำทีว่าไม่รู้จักกันดีในบางเรื่องได้ และยังดูไม่เหลาะแหละเกินไปนัก มีระยะห่างระหว่างกันโดยมารยาทมากยิ่งขึ้น
และนี่คือบทสนทนาบนตัวอักษรของเรา ซึ่งสุดแท้แต่ผู้อ่านจะตีความว่าจริงเจ็ดเท็จสามอย่างไร เพราะความเชื่อของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ซึ่งส่วนตัวผมก็เพียงหวังว่าทุกคนจะชื่นชอบและบันเทิงไม่มากก็น้อย
![]()
จุดเริ่มต้นของสองนักแปล
“ผมเริ่มจากการแปลข่าวดาราจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ยุคเฟื่องฟู” ซินโปย้อนเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เปี่ยมด้วยภาพที่คมชัด “สมัยนั้นผมทำงานแปลและล่ามอยู่บริษัทจีน แปลข้อมูล ข่าว เอกสารประชาสัมพันธ์ บทหนังเพื่อขออนุมัติถ่ายทำภาพยนตร์ ต่อมาก็แปลงานเกี่ยวกับข่าวบันเทิงจีนให้หนังสือพิมพ์กับนิตยสาร เรื่องย่อละครทั้งหลาย เขียนคอลัมน์เรียนภาษาจีนจากเพลงก็ทำด้วย”
หย่งชุนหัวเราะ “เราเป็นคนอ่านคอลัมน์ของเขามาก่อนนะ สิ่งมีชีวิตยุคก่อนประวัติศาสตร์แท้ๆ”
เธอเริ่มจากการแปลภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยหันมาภาษาจีน ทำงานอยู่บริษัทแปลย่านสาทร
“แปลสารพัด ตั้งแต่คู่มือรถยนต์ถึงจดหมายทวงหนี้ กว่าจะมาแปลหนังสือจริงจังก็ราวปี 2004–2005”
ทั้งคู่ต่างเดินมาจากเส้นทางที่ไม่คิดว่าจะมาบรรจบกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “ความอิ่มตัว” จากการเดินทางในเมืองใหญ่
“อยากอยู่บ้าน ทำงานแปลจากบ้านได้เลย” ซินโปบอกเรียบๆ
หย่งชุนเสริมพลางหัวเราะ “เรานี่แหละ Work from home before it was cool แท้ๆ จากบางเขนไปบางรักทุกวัน อ่านหนังสือเช่าระหว่างรถติด เช้าหยิบ เย็นคืน เพราะอ่านจบแล้ว”
และนั่นคือจุดเริ่มของการลาออกมาเป็นนักแปลอิสระเต็มตัว
![]()
เมื่อชื่อสองคนปรากฏบนปกหนังสือเดียวกัน
ในฐานะนักแปล... ผลงานแรกที่ทำร่วมกันกลับไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นงานแปลเกมออนไลน์ที่อิงเนื้อหาจากนวนิยายของกิมย้ง
“ทั้งสตอรี่ ทั้งตัวละครยังมีครบ” ซินโปเล่า “เราแบ่งกันทำ Glossary ตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งชื่อตัวละคร คำเฉพาะ แบ่งกันสร้างฐานข้อมูลไว้ใช้ต่อ”
“ไม่มีใครสอน เรียนรู้จากงานและความผิดพลาดล้วนๆ” หย่งชุนเสริม
และความเป็นระบบระเบียบนี้กลายเป็นรากฐานของงานแปลหนังสือชิ้นใหญ่ในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อเพื่อนนักแปลคนหนึ่งชวนพวกเขามาทำงานแปลนวนิยายช่วงรอยต่อของตลาด
“ตอนนั้นนิยายจีนกำลังขยับจากกำลังภายในไปแนวอื่น” หย่งชุนเล่า “ยุคแจ่มใสยังไม่เกิด ‘มากกว่ารัก’ เลยนะ ตอนนั้นยังชื่อ Asian Love series อยู่เลย เห็นภาพไดโนเสาร์บินผ่านบนฟ้าไหม (หัวเราะ)”
จนกระทั่งงานเรื่อง “หอสะบั้นเศียรมังกรและทำเนียบศาสตราอสูร” พิมพ์ออกมา ทำให้นาม “ซินโป-หย่งชุน” ปรากฏร่วมกันบนปกเป็นครั้งแรก
“เห็นชื่อคู่กัน เออ มันก็ได้อยู่ เหมือนชื่อร้านขายยาจีน” ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน เสียงหัวเราะนั้นเบาแต่เจือด้วยความเอื้อาทรต่อกันที่ผ่านงานและกาลเวลา
![]()
สองคนเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดให้มากความ
“พูดด้วยรู้เรื่อง ไว้ใจกันได้” ซินโปบอกสั้นๆ เมื่อถามถึงเหตุผลที่ทำงานร่วมกันได้ยาวนานกว่า 20 ปี “ผมไม่ค่อยชอบเจอคนเยอะ ให้คุณชุนเป็นฝ่ายติดต่อสำนักพิมพ์ดีกว่า”
“จริงๆ อินโทรเวิร์ตทั้งคู่” หย่งชุนหัวเราะ “แต่มันก็ต้องมีคนทำหน้าที่พบปะชาวโลก ดีที่เราถนัดกันคนละอย่าง เขาลึกซึ้งเรื่องภาษาจีนโบราณกว่ามาก ทุกวันนี้ถ้ามีใครถามว่าใครเก่งกว่า เราตอบได้ทันทีว่า ‘คุณซินโปเก่งกว่าเรา ม–า–ก’”
ซินโปยิ้มรับ “ต่างคนต่างมีจุดแข็งที่เสริมจุดอ่อนของอีกฝ่ายมากกว่า งานที่หย่งชุนอ่านหลากหลายกว่าผม ขอบเขตศัพท์จีนและไทยเลยกว้าง อีกอย่างคือมีเพื่อนฝูง มีคนเมตตาช่วยเหลืออะไรเยอะ เพจซินโป-หย่งชุน ทั้งคนลงคอนเทนต์ทั้งตอบคำถามนักอ่าน เป็นหย่งชุน”
“รับบทฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ไง” เธอหัวเราะ “งานแปลมันโดดเดี่ยว หันไปเจอแต่แมว ต้นฉบับ กับนักแปลอีกคน เพจช่วยให้เราได้เจอเสียงของนักอ่าน ได้ความเห็นและได้กำลังใจด้วย”
![]()
กระบวนการแปลและการฟังเสียงของเรื่องเล่า
เมื่อพูดถึงวิธีทำงาน ทั้งคู่ต่างพูดเหมือนกัน “เสียงเล่าเป็นอย่างไร ถ่ายทอดไปแบบนั้น”
หย่งชุนเล่าว่า “เมื่อก่อนตอนทำงาน ยังไม่ได้มีความรู้อะไรเรื่องหลักการแปล ก็คิดง่ายๆ แค่ว่าอ่านจบแล้วสรุป เรื่องนี้ใครทำอะไรกับใครที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร และเรื่องพูดถึงอะไรเป็นหลัก ฉากสมัยไหน อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต? เป็นโลกจริงหรือสมมติ? หรือจริงเจ็ดเท็จสามแบบสามก๊ก? เสียงใครเป็นคนเล่า ต่อมาพอไปเรียนโทถึงรู้ว่า อ๋อ สิ่งนี้เค้าเรียกว่าโครงสร้างการเล่าเรื่อง”
ซินโปเสริมว่า “นักแปลสมัยก่อนเวลาเสนอหนังสือ ต้องเขียนอธิบายละเอียดเลยว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร เจตนาคืออะไร กลุ่มลูกค้าไหน จะขายได้ไหม มันเลยฝึกให้เราเห็นภาพรวมของงานชัด เวลาทำงานจริงจะง่ายขึ้น”
ทั้งคู่แบ่งงานกันตามจังหวะชีวิต บางครั้งครึ่งต่อครึ่ง บางครั้งสลับกันตรวจ และ “หย่งชุน” มักเป็นคนตรวจแก้รอบสุดท้ายก่อนส่งงาน
“เพราะเขาละเอียด” ซินโปพูดสั้นๆ แต่ถ้อยคำนี้กลับฟังดูมีน้ำหนักกว่าคำชมยืดยาว
เมื่อถูกถามว่าหากมีความเห็นไม่ตรงกัน จัดการอย่างไร?
“คุยกัน” ซินโปตอบง่ายๆ “แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องตีความหรอก มักจะเป็นเรื่องนิยามศัพท์มากกว่า”
“บางทีก็ถามเพื่อนนักแปลหรือบรรณาธิการ” หย่งชุนว่า “ความเห็นขัดกันไม่ค่อยมี แต่ถ้าหงุดหงิดมากหน่อยก็คือเรื่องคุณเขาชอบเขียนโน้ตแจ้งจุดที่ติดขัดด้วยฟอนต์ Tahoma สีสะท้อนแสงเท่านั้นแหละ”
น้ำเสียงหยอกล้อ ฟังดูแล้วไม่ต่างจากแมวที่กำลังทำหูลู่และแกว่งหางอย่างแช่มช้า
![]()
แปลภาษาคือแปลชีวิต
งานแปลภาษาจีนมักซ่อนวัฒนธรรมและอารมณ์ไว้ในถ้อยคำ
“สิ่งสำคัญคือฟังเสียงของคนเล่าเรื่อง” ทั้งคู่พูดเหมือนกัน “ถ้าอ่านผิดตีความผิดตั้งแต่เสียงแรก ที่เหลือก็มีสิทธิ์เข้ารกเข้าพง”
หย่งชุนมีนิสัยที่ติดมาจากอีกอาชีพคือชอบใส่เชิงอรรถ ที่บางครั้งก็ออกจะดูวิชาการไปบ้าง แต่เธอก็ยอมรับว่า “พยายามทำให้กระชับที่สุด ไม่อยากให้ไปรบกวนจินตนาการของคนอ่าน”
มุมมองต่อวงการแปล
สองทศวรรษของหย่งชุน สี่ทศวรรษของซินโป ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย หากเป็นคนก็กำลังเติบใหญ่ มีประสบการณ์ และมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม เมื่อมองย้อนกลับไป เห็นการเปลี่ยนแปลงของวงการแปลไทยที่มีเขาทั้งสองคนโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรนี้ด้วย
“ฝั่งงานแปลภาษาจีน สำนักพิมพ์ที่ทำนิยายจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้น เยอะกว่าสมัยพวกเราเริ่มแปลหนังสือหลายเท่า นักแปลเจอหนังสือดีๆ แล้วเสนอเรื่องเองก็น่าจะยังมี แต่สำนักพิมพ์ส่วนมากเดี๋ยวนี้ก็มีรีดเดอร์ มีคนคัดเรื่องเองแล้ว ประเภทของเรื่องที่ขายกันในท้องตลาดบ้านเราก็หลากหลาย นักอ่านมีงานให้เลือกสรรมากขึ้น นักแปลส่วนหนึ่งก็เติบโตมาด้วยกัน รู้จักกันจนแก่” เหมือนทั้งสองเขียนบทเอาไว้ เพราะซินโปจะเป็นคนตอบก่อนเสมอ
“นักแปลรุ่นใหม่ๆ ก็เยอะ เป็นนิมิตหมายอันดีต่อวงการว่ามันยังไปต่อได้ อีกอย่าง นิยายออนไลน์เป็นอีกเซคชั่นหนึ่งที่โตเอาๆ นะเราว่า เคยไปทำอยู่เรื่องหนึ่งเหมือนกันเพราะอยากรู้ว่ากระบวนการเป็นอย่างไร สุดท้ายเลิกทำเพราะเวลากับสังขารไม่เอื้ออำนวย ในฐานะที่ทุกวันนี้สอนหนังสือด้วย เราก็รู้สึกว่ามันยังมีที่ทาง ยังมีอนาคตสำหรับคนเรียนจีนที่อยากทำงานแปล เพียงแต่ต้องอาศัยจังหวะ ต้องทำงานพิสูจน์ฝีมือ ท่ามกลางตลาดการแข่งขันกับคนและกับเอไอ” หย่งชุนเสริม
![]()
จากยุคพจนานุกรมถึงยุคเอไอ
เมื่อถามถึงเทคโนโลยีและเอไอ ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน ก่อนจะเปรียบเทียบได้เห็นภาพที่สุด
“เคยอ่านโดราเอมอนตอนวุ้นแปลภาษาไหม เอไอก็เหมือนวุ้นที่ถอดความหมายได้ทุกอย่าง แต่ยังต้องมีคนกินวุ้นอยู่ดี” ซินโปว่า “เทคโนโลยียังต้องมีคนตรวจสอบ ไม่งั้นเสี่ยงผิดได้ง่าย”
หย่งชุนเสริม “มันเหมือนพจนานุกรมกระดาษที่วิวัฒน์เป็นพจนานุกรมไฟฟ้า แล้วมาเป็นซีดี จนถึงเสิร์ชออนไลน์ เอไอก็แค่มือขวาช่วยนักแปล จริงอยู่ที่ตอนนี้มี TM หรือ Translation machine แต่คุณภาพยังต้องรอดู จะเสียเวลาแก้มากกว่าแปลเองไหม”
เธอยังพูดถึงเงื่อนไขสัญญาที่เริ่มระบุชัดว่า “ห้ามใช้ต้นฉบับเทรนเอไอ” แล้วหัวเราะบางเบา “คงไม่มีใครสิ้นคิดถึงขั้นฆ่าตัวตายเองหรอกมั้ง”
มนุษย์แปล มนุษย์รู้สึก
“งานแปลคือการไปนั่งอยู่ในหัวใจของนักเขียน” หย่งชุนพูดช้าๆ “สูดอากาศเดียวกัน ใช้โลกทัศน์เดียวกัน แบบที่เขาเรียกว่าเป็นร่างทรงน่ะ แล้วอัญเชิญผีนักเขียนมาปรากฏตัวในอีกภาษา”
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “เราเลยไม่รู้ว่าดิจิทัลที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกจะควักหัวใจนักเขียนออกมาได้ยังไง ความเห็นส่วนตัว คิดว่าบทประพันธ์เขียนด้วยมนุษย์ ก็สมควรเป็นมนุษย์ด้วยกันที่แปลและถ่ายทอด ส่วนเครื่องมือดิจิทัลเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้การถ่ายทอดรวดเร็วขึ้น สะดวกขึ้นมากกว่า”
ซินโปหัวเราะ “แต่ถ้าอนาคตมีเอไอเป็นนักเขียน ก็คงมีเอไอเป็นนักแปลได้เหมือนกัน”
หย่งชุนรับมุกทันที “งั้นสำนักพิมพ์อาจตั้งชื่อว่า ‘วรรณกรรมเอไอที่แท้จริงต้องเขียนและแปลโดยเอไอ’ ก็ได้นะ” (หมายเหตุ - มุกจากชื่อหนังสือ “วรรณกรรมที่แท้จริงน่ะต้องใช้คอมพิวเตอร์เขียนเท่านั้นไม่รู้เหรอ” ของ ร เรือ ในมหาสมุท ซึ่งหย่งชุนชอบ)
สัมผัสได้ถึงอารมณ์ชวนหัวในตัวหนังสือเขียนตอบของทั้งคู่ และน่าจะมีเสียงหัวเราะเจือเบาๆ อยู่ด้วย - เสียงหัวเราะที่เหมือนการปิดบทหนึ่งของนิยายด้วยจังหวะพอเหมาะ
![]()
บนบ่าของยักษ์อักษร
ปีนี้ “ซินโป-หย่งชุน” ได้รับรางวัลสุรินทราชาอันทรงเกียรติแห่งวงการแปล
“ดีใจที่หลายสิบปีมานี้มีคนอ่านงาน” ซินโปพูดเรียบๆ แต่แววตาอบอุ่น
หย่งชุนเสริม “วันที่ไปรับรางวัล ได้เจอครูที่เราเคยนับถือจากหน้ากระดาษ หลายท่านบอกว่าอ่านเล่มนั้นเล่มนี้ของเรา รู้สึกซาบซึ้งมาก เราโตมาบนบ่าของยักษ์อักษรทั้งหลาย อ่านและเรียนภาษาไทยผ่านงานแปลละเมียดละไมของพวกท่าน”
เธอหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อเบาๆ “รางวัลนี้คงเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนของเราและนักอ่านอีกหลายคนเหมือนกัน”
เสียงส่งต่อ
เมื่อถามว่าพระยาสุรินทรราชาจะพูดอะไรหากเห็นผลงานของพวกเขา
“ท่านคงตกใจจนพูดไม่ออกที่เห็นจอแยกสามจอ แมคานิคอลคีย์บอร์ดเสียงดังเหมือนข้าวตอกแตก โต๊ะปรับระดับได้ อาจจะคิดว่าทำไมอุปกรณ์เยอะ” ตอบแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันก่อนที่หัวข้อจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเสียงที่ส่งต่อไปยังนักอยากแปลรุ่นหลังซึ่งกำลังเดินถามเส้นทางนี้มา
“รักษาสุขภาพ มีวินัยในการออกกำลังกาย ทำให้เป็นนิสัย ถึงเวลาพักก็ต้องพัก ถ้าอายุยังน้อยอาจไม่รู้สึก โต้รุ่งทำงานไหว แต่ความเหนื่อยล้าพอมันสะสมนานเข้า ร่างกายจะประท้วง ข้อมือหรือสายตาพัง เราไม่มีอะไหล่เปลี่ยน ที่สำคัญคืออ่านเยอะๆ อ่านให้หลากหลาย สะสมคลังคำของตัวเองจากการศึกษางานของผู้อื่น”
![]()
ภาษาคือสะพาน ความเข้าใจคือแสงที่ทอดผ่านตัวอักษร
ถ้าให้เลือกเล่มเดียวที่สะท้อนตัวตนของพวกเขา “ฉางอันสิบสองชั่วยาม” คือคำตอบเดียวกัน
“เรื่องนี้อุดมไปด้วยแนวที่พวกเราชอบ ทั้งบู๊ล้างผลาญ วางแผน ทรยศหักหลัง ดราม่า บีบคั้นจิตใจ ตั้งคำถามกับอุดมการณ์และความเชื่อ ตอนแปลแปลด้วยความสนุก สาสมใจ คือต้องอธิบายว่าหนังสือที่พวกเราแปลบางครั้งก็ไม่ใช่สไตล์ที่ถูกใจทั้งสองคน หย่งชุนชอบงานอิงประวัติศาสตร์ ไม่ชอบงานมีสัตว์ตาย คนจะตายเป็นร้อยช่างมัน (หัวเราะ) ซินโปไม่มีแนวโปรดพิเศษ แค่ไม่ชอบงานที่นักเขียนใช้ภาษาฟุ่มเฟือยเยิ่นเย้อ ปัญหาคือนวนิยายอินเทอร์เน็ตจีนจะมาทรงนี้เยอะมาก”
“ผมไม่ชอบงานภาษาฟุ่มเฟือยเยิ่นเย้อ” ซินโปย้ำ “แต่งานนี้ไม่ใช่เลย เขาเขียนดีจริง”
“นิยายอินเทอร์เน็ตจีนบางทีก็ไหลไปเรื่อย พล็อตโหว่ ตัวละครแหว่ง พรรณนาโวหารไม่ดี ในขณะที่ฉางอันสิบสองชั่วยามไม่ใช่เลย ไม่ว่าจะมองในมุมพล็อตเบสหรือคาแร็กเตอร์เบส หม่าป๋อยงเขียนดี งานสมบูรณ์ เราทั้งคู่โตมากับหนังสือยุคก่อนนวนิยายอินเทอร์เน็ตจีน พออ่านแล้วเลยรู้สึกอิ่มเอมใจ ตอนทำงานก็สนุกกับเรื่องเล่าของนักเขียน อินไปด้วย”
เมื่องานคือชีวิต ตารางชีวิตของทั้งคู่จึงยังมี “งานแปลที่ตรวจแก้ไม่เสร็จสักที” กับงานใหม่ที่ยังอยู่ในร่างต้นฉบับ ต่อแถวรอคอยอยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผู้อ่านยังจะมีงานดีๆ จากการอัญเชิญวิญญาณนักเขียนมาสิงร่างพวกเขาแปลผลงานดีๆ ออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง
“ยังเป็นแนวอิงประวัติศาสตร์เหมือนเดิมค่ะ” หย่งชุนยิ้ม “ถ้าเป็นรูปเป็นร่างแล้วค่อยอัพเดทในเพจอีกที หนังสือที่อยากอ่านอยากแปลมีหลายเรื่อง แต่เวลาจำกัดเหลือเกิน มีเนื้อเพลงจีนท่อนหนึ่งที่ว่า “เหรินเซิงต๋วนต่วนจี่เก้อชิว” (人生短短几个秋) ชีวิตมนุษย์แสนสั้นเพียงไม่กี่ฤดูสารท ---เราก็อยากใช้เวลาแสนสั้นนี้ทำงานที่รักต่อไป”
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต
![]()
