1 ปี ฟาร์มมี by Green Innovate
ลุยงาน R&D เดินหน้าสู่ผู้นำเรื่องผักไฮโดรโปนิกส์
ครบรอบ 1 ปีเต็มไปเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ที่ฟาร์มมี by Green Innovate ได้เข้ามาเทคโอเวอร์ฟาร์มผักในตำบลคลองม่วง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมเดินหน้าเต็มสูบลุยทำฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารแบบประณีต
เป็นเวลา 1 ปีเต็ม ที่ฟาร์มมีได้ทุ่มสรรพกำลังเพื่อกอบกู้สถานการณ์ฟาร์มผักที่กำลังประสบวิกฤตขาดทุนพลิกฟื้นคืนกำไรได้อย่างน่าชื่นใจ สร้างรายได้ปีแรกทะลุ 60 ล้านบาท!
“จากวันที่เข้ามาเรามีพนักงาน 71 คน ผ่านไป 1 ปี วันนี้เรามีพนักงานทั้งสิ้น 105 คน หัวหน้างานอีก 6 คน รวมเป็น 111 คน เราทำงานกันอย่างจริงจังมาก เจอทั้งโรค เจอทั้งแมลง โรคใบจุดไม่ต้องพูดถึง บางวันใบจุดทั้งโรง ตกใจกันทั้งฟาร์ม บางวันเจอหนอน ร้ายกว่านั้นเราเคยเจอจิ้งจกด้วยแต่นานๆ ที” เป็นเสียงจากคุณเอ้-ดร.กัญจน์คหัฐ ปิยะกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ ฟาร์มมี by Green Innovate ดังผ่านเครื่องขยายเสียงถึงพนักงานที่มารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตาในวันทำบุญฉลองครบรอบ 1 ปี
ด้วยความทุ่มเทอย่างหนักตั้งแต่เริ่มต้น สามารถสร้างยอดขายรวมทั้งสิ้น 60 ล้านบาท ถือเป็นเงินก้อนแรกที่บำรุงขวัญกำลังใจให้กับทุกฟันเฟืองที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จครั้งนี้
นี่เป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่แน่นอนว่าเกิดจากทีมที่เข้มแข็ง และยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกเมื่อได้กูรูด้านฟาร์มเกษตรของเมืองไทย “ดร.สุรชาติ วุฒาพาณิชย์” ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการฟาร์มเกษตร สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง มานั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับฟาร์มมีเป็นการเฉพาะกิจ
![]()
ในวงการการเกษตร ดร.สุรชาติ วุฒาพาณิชย์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวจริงเสียงจริง! จบปริญญาตรีด้านเกษตรจากแม่โจ้ จากนั้นไปศึกษาต่อปริญญาโทและเอก ด้านวิทยาการก่อน-หลังการเก็บเกี่ยวที่ประเทศออสเตรเลีย พร้อมประสบการณ์ทำงานที่ Rugby Farm ฟาร์มขนาดใหญ่ 3 หมื่นไร่ และเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยใน Mulgowie Farming ฟาร์มข้าวโพดและถั่วแขกใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียเป็นเวลากว่า 15 ปี ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นอาสาสมัคร เป็นที่ปรึกษาโครงการหลวง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง จ.เชียงใหม่ โดยมีปณิธาน คือ ผลักดันโครงการการเกษตรเมืองไทยให้แข็งแกร่งเติบโต
ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 2 ของฟาร์มมี ทีม Khaoyai Connect มีโอกาสสัมภาษณ์ ดร.สุรชาติ ถึงทิศทางของฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารเบอร์ใหญ่ของปากช่อง ความท้าทายกับเป้าหมายในการทะยานขึ้นสู่ผู้นำเรื่องผักในอนาคต
ย้อนหลังไป 50 ปี จุดเริ่มต้นผักไฮโดรโปนิกส์ในไทย
ผักไฮโดรโปนิกส์ถูกนำเข้ามาในเมืองไทยราว 50 ปีที่แล้ว ในยุคนั้นคนทั่วไปยังไม่มีใครรู้จักผักสลัดมากนัก มีเพียงโรงแรม และร้านอาหาร 5 ดาว ที่นำเข้าจากต่างประเทศมาเสิร์ฟให้กับแขกที่มาพัก จนเริ่มมีกระแสความนิยมมากขึ้น จึงเริ่มมีบริษัทนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาผลิตผักไฮโดรโปนิกส์เพื่อทดแทนการนำเข้า
การปลูกโดยทั่วไปมี 2 ระบบ คือ
- NFT (Nutrient Film Technique) ใช้รางปลูกพลาสติก แล้วให้ปุ๋ยไปกับน้ำลอยเป็นผิวบางๆ เมื่อรากจุ่มในน้ำจะได้ออกซิเจน และปุ๋ยเป็นธาตุอาหาร
- Substrate Hydroponic เป็นการปลูกโดยใช้วัสดุปลูก เช่น ขุยมะพร้าว กาบมะพร้าว ทราย ก้อนกรวด หินภูเขาไฟ เพอร์ไลท์ เวอร์มิคูไลท์ เป็นวัสดุปลูกที่ไม่ใช่ดิน เพราะดินเป็นบ่อเกิดของจุลินทรีย์ อาจทำให้เกิดโรครากเน่าหรือโคนเน่าได้
“ฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์เป็นโนฮาวจากต่างประเทศ เริ่มแรกมาจากอเมริกา เราเอาเข้ามา แล้วก็พัฒนา เมื่อ 30 ปีก่อนผมมีโอกาสได้ทำฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์ที่กรุงเทพ เป็นบริษัทแรกที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ เรามีการออกแบบโรงเรือน ระบบการปลูกให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมอากาศเมืองไทยที่ค่อนข้างจะร้อน ปัจจุบันก็มีระบบโรงเรือน EVAP (Evaporative Cooling System) เข้ามา การทำงานใช้แผงรังผึ้งให้พัดลมดึงความร้อนออกไปทำให้โรงเรือนมีความเย็นสบายขึ้นมา เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของกรีนเฮ้าส์”
![]()
R&D หัวใจของการพัฒนาผักไฮโดรฯ
โนฮาวในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ไม่เคยย่ำอยู่กับที่ เนื่องจากต้องมี R&D (Research and Development) การวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ทันยุคทันสมัย ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องความยั่งยืน
“เทรนด์ของผู้บริโภคจะเน้นอนามัย ความสะดวกสบาย รสชาติ สีสัน เราต้องผลิตผักให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภค เราจึงต้องเน้นเรื่อง R&D มีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ผักใหม่ๆ โดยส่วนใหญ่เราจะปลูกผักสลัด กับผักตระกูลกะหล่ำ มาตอนนี้เราก็มาจับผักผล เช่น มะเขือเทศ แตงจิ๋ว ซึ่งการทำ R&D คือ การหาพันธุ์ใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตดีขึ้น ดก ต้านทานโรค ดูแลง่าย สีสันสวยงาม ทนทานหลังอายุการเก็บเกี่ยว
ตอนนี้เรากำลังทำเรื่องทำให้ผักเป็นขนมกินเล่น หรือสแน็คผัก เช่น มะเขือเทศเชอรี่ แตงจิ๋ว พริกหยวกลูกเล็กๆ ที่กัดกินได้เลย ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนที่ไม่ชอบกินผักให้มาลองกินโดยใช้สีสันดึงดูด อย่างมะเขือเทศเดี๋ยวนี้มีสีช็อคโกแลตด้วย รสชาติต้องหวานนุ่ม กินแล้วไม่ติดฟัน รวมถึงดอกไม้กินได้ที่คนไทยยังไม่ค่อยใช้กันเท่าไร คนไทยเรามีสะเดาเป็นช่อดอกไปต้มลวกจิ้มน้ำพริกใช่ไหม ฝรั่งเขาก็จะเป็นกลีบดอกสีสัน เอาไว้โรยหน้าให้อาหารน่ากินมากขึ้น
![]()
ส่วนเทรนด์ของอาหารสุขภาพ เช่น เคล เรามีระบบปลูก 2 ระบบ คือ ออร์แกนิก กับ GAP (Good Agricultural Practices) เป็นมาตรฐานโลก ว่าเป็นเกษตรแบบปลอดภัย เรามีออดิททุกปี ทำให้เราผลิตผักมีมาตรฐานคุณภาพ และมีความปลอดภัย ไม่มีเรื่องสารเคมี หรือสารตกค้าง”
นอกจากการเน้นเรื่อง R&D ย่างก้าวต่อไปของฟาร์มมี จะเดินหน้าเรื่องการออกแบบโรงเรือนใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองไทย
การทำฟาร์มผักต้องเดินหน้าไปแบบเป็นขั้นตอน ในปีแรกมีการเน้นเรื่องผลผลิต และปรับปรุงอุดรอยรั่วด้วยการวิจัยและพัฒนา รวมถึงประยุกต์ใช้เทคโนโลยี นำองค์ความรู้ที่มีมาปรับปรุง อบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจ ในระยะต่อไปเมื่อเริ่มมีเงินทุน และองค์ความรู้พร้อมจึงค่อยขยับไปปรับปรุงโรงเรือน
“เนื่องจากสภาพอากาศมันเปลี่ยนแปลงไปแบบรุนแรงมากขึ้น ร้อนขึ้น ฝนตกหนัก มีพายุลูกเห็บ การใช้โรงเรือนที่ออกแบบจากเมืองหนาวอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับประเทศเมืองร้อนแบบบ้านเรา ก็จะมีการออกแบบโรงเรือนใหม่เป็น 2 ระยะ ระยะแรกของเก่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้น ให้ปลูกผักเย็นสบายได้ทั้งปี ระยะต่อมาโรงเรือนแบบใหม่ที่เราจะสร้างเป็นต้นแบบ เป็นโรงเรือนที่มีความเย็น กว้างใหญ่ อากาศถ่ายเท สามารถใช้เครื่องจักรเครื่องมือในการทำงานสะดวกขึ้น เป็นมิตรกับคนสูงวัย ไม่ต้องก้ม ไม่ต้องทำงานกับพื้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และคนทำงานให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น”
กุญแจ 3 ดอกสู่ความสำเร็จ
ไม่มีความบังเอิญในความสำเร็จ หากแต่เป็นการวางแผนการงานอย่างรอบคอบและทุ่มเทอย่างหนักเท่านั้น ที่สามารถพลิกสถานการณ์จากขาดทุนกลับมาทำกำไรในเวลาเพียง 1 ปี ด้วยหลักการ 3 ข้อ คือ 1.คุณภาพ 2.ความต่อเนื่อง และ 3.ราคา
“ปัญหาผักเมืองไทยเรามี 2 อย่างหลักๆ 1.เรื่องความปลอดภัย ความมั่นใจของผู้บริโภค คนไทยไม่ไว้ใจเรื่องสารตกค้าง 2.ผลผลิตมีราคาไม่แน่นอน ขึ้นๆ ลงๆ ตามฤดูกาล”
แน่นอนว่ากุญแจสู่ความสำเร็จในปีแรกนั้นมาจากที่ฟาร์มมีสามารถตอบโจทย์ได้ครบทุกข้อ
“ในปีแรกเราทำได้ดีทีเดียว ในเรื่องความปลอดภัยเราทำได้ เนื่องจากระบบไฮโดรโปนิกส์ส่วนใหญ่จะปลูกกับระบบที่ควบคุมได้ในโรงเรือน ปัญหาศัตรูพืชก็น้อยลง เราใช้สารชีวภัณฑ์ที่ปลอดภัยในการป้องกันโรคแมลง ผลผลิตที่ได้ เราสุ่มตรวจด้วยห้องแล็บของเราเอง และถ้าเราทำเรื่องความปลอดภัยได้ เป็นผักเซฟตี้ หรือปลอดสารได้เราจะมีตลาดมหาศาล
ส่วนเรื่องราคาแม้จะไม่สามารถทำราคาตายตัวคงที่ได้ แต่เรามี 2 ราคาที่ชัดเจนตามฤดูกาล มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เมื่อเราแก้ปัญหาได้ ทำให้เรามีออเดอร์ไม่ขาด เพราะตลาดผักคุณภาพยังมีความต้องการอีกเยอะมาก”
![]()
เร่งสร้างความเชื่อมั่นผักปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค
ปัญหาของเกษตรกรไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น ฉะนั้นวงจรชีวิตของแมลง และโรคจะเร็วมาก ราวๆ 15-20 วันเท่านั้น ดังนั้นในผัก 1 ต้นจะสามารถพบศัตรูพืชทุกเจนเนอเรชั่นอยู่รวมกันตั้งแต่ไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มไว ฉะนั้นการพ่นสารเคมีจึงไม่ค่อยได้ผล เพราะบางสารเคมีฆ่าได้เฉพาะไข่ บางสารเคมีฆ่าเฉพาะตัวอ่อน แต่ไม่ฆ่าตัวเต็มวัย
ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องเราควรนำหลักการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน ที่เรียกว่า IPM (Intergreated Pest Managment) เข้ามาใช้ ตั้งแต่วิธีเขตกรรม ซึ่งเป็นการจัดการสภาพแวดล้อมให้ไม่เอื้อต่อการแพร่ของศัตรูพืช เช่น การเตรียมแปลง การเอาผ้าคลุมแปลง ลดการที่พืชไปสัมผัสกับดิน ไปสัมผัสกับโรคแมลงทางดิน การใช้สารชีวภัณฑ์ หรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ไปกำจัดศัตรูพืชที่เป็นพวกโรคเชื้อรา แบคทีเรีย ที่ไม่เป็นอันตรายกับคน เหล่านี้เกษตรกรยังใช้กันน้อย อาจเพราะเป็นเรื่องยุ่งยาก มันคือการใช้แบบป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เมื่อเกิดปัญหาจึงค่อยพิจารณาใช้ยามาแก้ไข แต่เกษตรกรไทยใช้สลับกัน คือ ใช้ยาก่อน แล้วป้องกันทีหลัง ซึ่งมันสายไปแล้ว
ไขคำตอบประเด็นสารตกค้างในผักไฮโดรโปนิกส์ที่คนไทยเคลือบแคลง
ดร.สุรชาติ กล่าวว่า คนไทยยังสับสนและเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องสารเคมีตกค้าง คนไทยไปเข้าใจว่าสารเคมีตกค้าง หรือยาฆ่าแมลงเป็นตัวเดียวกัน ทำให้ใช้คลาดเคลื่อน เราต้องเจาะจงอย่างนี้ว่า สารเคมีนี้เป็นสารป้องกันรักษาโรคแมลงศัตรูพืช หรือสารเคมีจากการใช้ปุ๋ย เพราะปุ๋ยก็คือสารเคมี เนื่องจากระบบการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เราไม่ได้ปลูกลงดิน เราปลูกในรางปลูก ใช้น้ำ แล้วเติมปุ๋ย ซึ่งเป็นธาตุอาหาร 12 ชนิด เช่นเดียวกับผักที่ปลูกกลางแจ้งก็ต้องให้ปุ๋ยเหมือนกัน แต่คนละรูปแบบกัน โดยปุ๋ยที่ใช้กับผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นปุ๋ยที่มีความบริสุทธิ์มากกว่า เพราะต้องละลายน้ำได้ดี เปรียบเสมือนคนหนึ่งกินข้าวเหนียว คนหนึ่งกินข้าวจ้าว สุดท้ายเราได้คาร์โบไฮเดรต ได้แป้ง ได้น้ำตาล ร่างกายย่อยไปได้กลูโคส ปลายทางเดียวกัน แต่ต้นทางคนละแบบ
“ถ้าเจาะจงลงไปที่ระบบไฮโดรโปนิกส์ที่ส่วนใหญ่จะปลูกกับระบบที่ควบคุมได้ในโรงเรือน ปัญหาศัตรูพืชก็ยิ่งน้อยลง การใช้สารเคมีก็น้อยกว่ากลางแจ้ง นี่คือข้อได้เปรียบของไฮโดรโปนิกส์ แต่มีหน่วยงานบางหน่วยงานไปตีว่าใช้สารเคมี ซึ่งเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะมันคือปุ๋ย ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับผักอื่นๆ แต่ปลูกคนละระบบเท่านั้น”
![]()
แล้วทำไมคนไทยยังข้องใจเรื่องประเด็นสารตกค้าง?
ดร.สุรชาติ อธิบายว่า เข้าใจว่าคนไปพูดเรื่องไนเตรต ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของธาตุไนโตรเจนที่พืชจะนำไปใช้ โดยเฉพาะนักวิชาการบางท่านที่แอนตี้ไฮโดรโปนิกส์ เขาจะบอกว่ามันมีไนเตรตจากการให้ปุ๋ยทำให้สะสมอยู่ในพืชเกิดการตกค้าง แต่เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าในเมืองไทยในสภาพที่อากาศร้อน การสะสมไนเตรตของพืชจะค่อนข้างน้อย การสะสมไนเตรตในพืชจะเป็นปัญหาหลักๆ ของประเทศเมืองหนาว ทางยุโรปที่พระอาทิตย์น้อย อย่างสแกนดิเนเวีย มีกลางวัน 5-6 ชั่วโมง พืชสังเคราะห์แสงไม่เต็มที่ ทำให้พืชสะสมไนเตรตในผักเยอะ แล้วพอมีไนเตรตเยอะ เมื่อเรากินเข้าไปมันจะไปสะสมในรูปของไนไตรต์ เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดมันจะไปดึงเอาออกซิเจนในเลือดออกมาทำให้มีอาการเลือดจาง เลือดสีน้ำเงิน มีอาการเป็นพิษ ซึ่งเป็นโทษกับสุขภาพร่างกายของเรา
“ทุกอย่างในโลกล้วนมีคุณและมีโทษ ยกตัวอย่างกินเผือกสดๆ มีพิษนะ กินแล้วคันคอ แล้วถ้าเราต้มสารพิษนั้นก็หายไป ฉะนั้นผักไฮโดรโปนิกส์ก็มีไนเตรตอยู่บ้าง เพราะการสังเคราะห์แสงต้องการไนโตรเจน ซึ่งไนโตรเจนมี 2 รูปแบบ คือ แอมโมเนีย กับ ไนเตรต มันต้องใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง สร้างการเจริญเติบโตของพืช ผักไหนๆ ที่ปลูกในดินก็ล้วนมีโอกาสมีไนเตรตสะสมที่อาจจะมาจากการให้ปุ๋ย วิธีการปลูก พื้นดินที่ปลูก หรือการให้น้ำ มันมีปัจจัยหลายอย่าง ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน
ในผักต้องมีไนเตรตอยู่แล้ว แต่เราไม่ต้องการให้ไนเตรตสูงเกินไปจนเกิดเป็นพิษ แต่ถ้าต่ำไปพืชก็ไม่โต ไม่งาม ไม่เขียว จากที่จะได้กินผักเขียวก็ต้องกินผักสีเหลืองๆ เพราะขาดไนโตรเจน พวกนี้สำคัญ ฉะนั้นการสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภคไม่ให้ตื่นตระหนกก็เป็นเรื่องที่เราต้องทำควบคู่ไปด้วย
แล้วรู้ไหมว่าการที่คุณจะได้สารพิษจากไนเตรตนั่นคือคุณต้องกินผักสลัดวันละเป็นกิโลฯ และกินทุกวัน มันถึงจะได้รับพิษขนาดนั้น แต่ในความเป็นจริงเรากินอย่างละนิดหน่อย แล้วกินแบบผสมผสาน ไม่ใช่กินผักสลัดเป็นกิโลฯ ทุกวัน หรือกินร็อกเก็ตเป็นกิโลฯ ทุกวัน เราต้องใช้สติคิด ไม่ตื่นตระหนกง่ายๆ อย่าเพิ่งไปเชื่อเพราะเดี๋ยวนี้โซเชียลมีเดียไปไวมาก บางทีอีกฝ่ายมุ่งโจมตีเพราะขัดผลประโยชน์ก็มี
แล้วถ้าพูดเรื่องความเป็นพิษ น้ำตาล พริกไทย เกลือก็ล้วนมีพิษทั้งนั้น เพราะสาเหตุของโรคต่างๆ ที่คนไทยเป็นก็มาจากพวกนี้ทั้งหมด เนื่องจากบริโภคมากเกินไป จึงอยากให้เข้าใจว่าของทุกอย่างในโลกล้วนมีคุณและโทษ ถ้ามีความเข้าใจก็จะบริโภคอย่างถูกวิธี มีความสมดุลให้กับร่างกาย” ดร.สุรชาติ อธิบายให้เห็นภาพ
อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณภาพผักได้รับมาตรฐานความปลอดภัยของฟาร์มมี ทำให้เป็นที่ยอมรับของตลาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพปลอดสาร เพราะส่วนหนึ่งมีการควบคุมด้วยการใช้สูตรปุ๋ยที่มีไนเตรตต่ำ มีการวิเคราะห์ค่าไนเตรตในผักตัวอย่างจากห้องแล็บ ซึ่งนี่คือสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในยุคนี้
![]()
ก้าวต่อไปมองหาพันธมิตรเพิ่มปริมาณผลผลิต
เนื่องจากการปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์แบบโรงเรือนมีต้นทุนสูง ไม่ว่าจะเป็นการปรับพื้นคอนกรีตในโรงเรือน การใช้ไฟฟ้า และจำนวนบุคลากร ทำให้ก้าวต่อไปของฟาร์มมีต้องหาพันธมิตรที่สามารถปลูกกลางแจ้งที่มีต้นทุนที่ต่ำลง เพื่อทำสัญญา Contact Farming โดยจะมีเจ้าหน้าที่ฟาร์มมีไปให้ความรู้ และส่งเสริมปัจจัยเรื่องพันธุ์พืช พร้อมทั้งร่วมวางแผนการผลิต โดยกลุ่มนี้จะเน้นผักที่ราคาไม่สูงมาก แล้วรับซื้อภายใต้เงื่อนไขที่ต้องได้คุณภาพ ขณะที่ฟาร์มมีจะกลายเป็นศูนย์กลางขยับไปปลูกผักมูลค่าสูง เน้นการทำงานวิจัยและพัฒนาให้ทันสมัย และทันต่อความต้องการของผู้บริโภค
“ก้าวต่อไปไม่นานจะเห็นผักของเราเสิร์ฟบนเครื่องบิน ตามร้านอาหาร และโรงแรม 5 ดาว” ดร.สุรชาติ เผยถึงกลุ่มเป้าหมายระดับบน ถือเป็นการตอกย้ำมาตรฐานผักคุณภาพปลอดสาร ซึ่งเป็นหัวใจหลักของฟาร์มมีที่มุ่งหวังการส่งต่อสิ่งที่ดีเพื่อพี่น้องคนไทยให้ได้มีสุขภาพร่างกายที่ดีอย่างทั่วถึง
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต
![]()
