สีสันเมืองสีคิ้วแห่ง Corazema
เพชรที่รอการเจียระไน
ในแผนที่สมัยกรุงศรีอยุธยาของ เมอซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ (ซิมง เดอ ลาลูแบร์) ราวปี พ.ศ.2236 เรียกที่ตั้งจังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบันว่า Corazema (โคราซีมา) ซึ่งหมายถึง “นครราชสีมา” หรือ “โคราช” นั่นเอง
ตั้งแต่สมัยอยุธยา เมืองโคราชในฐานะที่เป็นเมืองหน้าด่านมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งด้านการป้องกันข้าศึก ทำให้พื้นที่นี้เกิดการปะทะสังสรรค์ของผู้คนหลากหลายถิ่นหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นดินแดนพหุวัฒนธรรมในที่สุด
โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอสีคิ้วที่ผู้คนจากหลายวัฒนธรรมมาอาศัยอยู่เกิดการผสมผสานจนมีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นลาว ยวน โคราช มอญ เขมร โดยปรากฏร่องรอยให้เห็นอยู่ทั่วไปในภาษา วิถีชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรม
ด้วยวิถีที่น่าสนใจนี้เอง ทำให้สีคิ้วได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในพื้นที่พัฒนาให้เป็นเมืองศิลปะ ผ่านเทศกาลที่มีชื่อว่า “เทศกาลโคราซีมา เฟียสต้า (Corazema Fiesta Festival)” ซึ่งเป็นโครงการของ “ครูหนืด-นิมิต พิพิธกุล” ศิลปินศิลปาธร สาขาการแสดงปี 2550 ที่ได้รับรางวัลดีเด่นจากการประกวดข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาเมืองแห่งศิลปะ ปี 2568 จากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
![]()
โครงการดำเนินการตั้งแต่กลางปี 2568 ตั้งเป้าให้เมืองสีคิ้วเฉิดฉายในฐานะของพื้นที่ศิลปะ Art Space ที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้เปล่งประกายให้เป็นที่รับรู้จากผู้คนพื้นที่อื่นๆ ให้มากยิ่งขึ้น
กิจกรรมที่เกิดขึ้นครอบคลุมความเป็นเมืองศิลปะเกือบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นตลาดอาร์ต มาร์เก็ต กิจกรรมเครื่องปั้นดินเผา การร้อยลูกปัดด่านเกวียนที่ Buddha Art Space การสร้างศิลปะแห่งสายลม ที่ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง เวิร์กช้อปผ้าท้องถิ่นแบบสีคิ้ว ศิลปะรำดาบที่วัดโนนกุ่ม กิจกรรมที่ปราสาทเวทมนต์ บ้านสวนน้อย พื้นที่เติมจินตนาการของเด็กๆ เหล่านี้ล้วนหยิบจับจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวสีคิ้วออกมานำเสนอทั้งสิ้น
![]()
ครูหนืด-นิมิต พิพิธกุล เจ้าของโครงการ ให้สัมภาษณ์ทีม Khaoyai Connect ว่า โครงการนี้จริงๆ เป็นโครงการตั้งต้นที่ได้รับทุนจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ที่ให้งบในการพัฒนาเมืองศิลปะ เป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาจากเบียนนาเล่ ซึ่งเป็นมหกรรมศิลปะที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 2 ปี สำหรับตนเคยได้รับทุนทำโปรเจ็คต์ศิลป์ดินปั้น และยังทำสื่อชื่อว่า “เสมาลัย” ซึ่งล้วนเป็นเรื่องของดินแล้วเกิดเป็นคอมมูนิตี้ให้ผู้คนมาเจอกัน แต่ในครั้งนี้ต้องการมีบทบาทเหมือนเป็นภัณฑารักษ์ อยากให้เป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่การคิดแบบงานอีเว้นท์ ไม่ใช่รูปแบบของการปั้นโปรเจ็คต์ แต่ต้องการให้พื้นที่เป็นคอมมูนิตี้อาร์ตสเปซขึ้นมา โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาเมืองศิลปะ ต่อยอดในส่วนต่างๆ ทั้งตัวศิลปิน ผลงาน ความเป็นไปได้ที่งานศิลปะจะกระจายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ
![]()
“สีคิ้วมีพื้นที่น่าสนใจหลายจุด มีพื้นที่ประวัติศาสตร์ มีศิลปะการรำดาบชาวเชียงแสนที่ตกทอดมาอยู่สีคิ้ว เรายังพบบ้านสวนน้อยที่เป็นพื้นที่ของเด็ก เห็นเขายายเที่ยงที่มีการพัฒนาพลังงานยั่งยืน เป็นพื้นที่ของการสร้างสรรค์ที่มีคอนเทนต์มาจากธรรมชาติ โดยข้อดีของพื้นที่สีคิ้ว คือ เป็นพื้นที่ที่มีคอนเทนต์แต่ยังไม่ถูกทำมาก ก็เลยเริ่มคิดโครงการเพื่อสร้างอาร์ตซิตี้ โดยใช้สีคิ้วเป็นโมเดลทดลอง”
![]()
โดยศักยภาพแล้ว ครูหนืดมีความเชื่อว่าสีคิ้วมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นเมืองอาร์ตหรือการตอบโจทย์เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ก็สามารถตอบได้เกือบครบทั้ง 11 สาขา ซึ่งในส่วนที่ขาดสามารถนำศิลปินข้างนอกมาเติมได้ เป็นการ Collaboration (ร่วมมือ) ระหว่างศิลปินกับพื้นที่
![]()
“เทศกาลที่ผ่านมา ผมให้ความสำคัญคำว่าสเปซเป็นหลัก เพราะฉะนั้นไม่ได้ซีเรียสเรื่องตัวเนื้องานว่าจะมีคนมาดูเยอะแค่ไหน คือไม่ต้องเป็นอีเว้นท์ที่จะต้องมีคนมาเปิดงาน แต่ทำยังไงให้คนที่เป็นเจ้าของพื้นที่เห็นศักยภาพและโอกาส ว่าสามารถตอบสนองได้ในอนาคตระยะยาว จึงที่มาของการนำคนที่มีต้นทุนความรู้มาจับกับเจ้าของพื้นที่ให้เป็นพาร์ทเนอร์กันเพื่อจะต่อยอดไปสู่กิจกรรมต่างๆ เช่น เรื่องศิลปะการรำดาบของวัดโนนกุ่ม ต่อไปอาจจะเป็นโรงเรียนสำหรับสอนดาบก็ได้”
![]()
ครูหนืด บอกว่า คอนเทนต์ที่จะเข้มแข็งมาจากเจ้าของพื้นที่ที่เป็นเจ้าของคอนเทนต์ หน้าที่ตนเองคือการทำให้ผู้รู้เรื่องนั้นปรากฏตัว เช่น ครูดาบ เราให้เขาได้เริ่มเล่าและสื่อสาร เพราะเขาอาจไม่รู้ว่าเรื่องราวของตนเองสามารถเอาไปต่อยอดหรือพัฒนาได้อย่างไร หรือวัดเขาจันทร์งามที่เป็นผู้รู้เรื่องธรรมชาติ สามารถอธิบายได้ลึกไปถึงเรื่องธรณีวิทยา แต่เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นผลผลิตใหม่ๆ ได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการที่เราเอาคนข้างนอกมาเจอกับคนข้างใน เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา โดยอาศัยองค์ความรู้ของเราที่พัฒนางานศิลปะมาตลอด
![]()
แม่ๆ ป้าๆ เมืองสีคิ้วขานรับเมืองศิลปะ
ครูหนืด พบว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ไม่ได้เป็นเรื่องหนักใจของคนในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มสูงวัย แม่ๆ ป้าๆ เหล่านี้เป็นกลุ่มที่เปิดรับ มีความสนุกและอยากพยายามทดลอง และเชื่อมโยง ผิดกับคนรุ่นใหม่ที่กลายเป็นกลุ่มที่ติดกับดักของกรอบวิชาชีพ ไม่ปล่อยใจให้สนุกกับเรื่องใหม่ๆ
“เอาตรงๆ เทศกาลนี้กลุ่มผู้สูงวัยแม่ๆ ป้าๆ งงน้อยกว่าคนรุ่นใหม่นะ เพราะคนรุ่นใหม่มีกรอบทุกอย่าง เขาถามถึง TOR ก่อน ว่าต้องทำอะไรเป็นขั้นตอนแบบไหน ซึ่งผมไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเลย แต่กลุ่มชาวบ้านกลับเปิดรับ เขาสนุก เขาพยายามเชื่อมโยง และทดลอง ซึ่งเมื่อเราทำสิ่งที่เรียกว่าการทดลองนี้ ปรากฎว่าชุมชนกลับรู้สึกสบายกว่า ขณะที่คนรุ่นใหม่คิดเป็นขั้นๆ ละเอียด แต่กลายเป็นว่าเราต้องกระตุ้นให้เขารู้สึกอิสระ
![]()
ถ้าทำตามจัดซื้อจัดจ้างนั่นไม่ใช่ศิลปะ มันเป็นการรับจ้างผลิตงานเท่านั้น ดังนั้นงานนี้ผมจึงไม่มีคำตอบกับผู้ให้ทุน ผมบอกว่าไม่รู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าสิ่งที่จะเกิดน่าจะสั่นสะเทือนมากกว่าที่เขาคิด เพราะสิ่งที่ทำไม่อยู่ในกรอบ แต่เป็นอะไรก็ได้ที่สร้างสรรค์
ผมเดินทางบ่อย อย่างตอนไปเกาหลี พบเส้นทางหนึ่งที่เต็มไปด้วยการประดับประดาข้างกำแพง พวกเขาเอานาฬิกาเก่ามาแปะ คนเกาหลีภูมิใจมาก เพราะเป็นเรื่องที่ชุมชนภูมิใจในศิลปะตัวเอง ลุกขึ้นมาประดับประดาตกแต่งตามวิธีคิดของตัวเองด้วยความอิสระ”
![]()
แต่หากถามถึงการวัดผล ครูหนืดบอกว่า การทำเทศกาลลักษณะนี้ต้องใช้เวลาราว 3 ปี โดยปีที่ 1 เป็นปีที่ต้องทำคอนเทนต์ให้เข้มแข็ง ปีที่ 2 ต้องสร้างเครือข่ายให้ได้ และ ปีที่ 3 เครือข่ายมีการ Collaboration แล้วเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เกิดโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ที่กระจายตัวออกไป ทำให้คนข้างนอกสามารถรับรู้ถึงการเติบโตของพื้นที่ และอยากมาร่วมจอย
Corazema Fiesta Festival จึงเป็นการทำเทศกาลเพื่อให้คนที่มาเข้าร่วมมีโอกาสได้เปิดใจในการรับคนนอกพื้นที่เพื่อเข้ามาสร้างสรรค์งานใหม่ๆ นำไปสู่เทศกาลแห่งความร่วมมืออย่างแท้จริง
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต
![]()
