
Maison Mystique
“งานศิลปะ” ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของเขาใหญ่ที่พร้อมให้คุณมาเข้าพัก
ท่ามกลางทิวเขาอันสลับซับซ้อนของเขาใหญ่ มีสถานที่หนึ่งถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าโรงแรม เพราะถูกรังสรรค์ขึ้นในฐานะ “งานศิลปะ” ชิ้นเอก ทุกมุม ทุกห้อง แมกไม้นานา รอคอยผู้มาเยือน “หลบหนีออกจากโลกความเป็นจริง” อิงแอบอยู่กับความสงบสุขและดื่มด่ำไปกับสุนทรียภาพในแบบที่ยากจะหาที่ใด
บนพื้นที่ 44 ไร่ของบ้านเขาวง ซึ่งเดิมทีเคยเป็นสวนมะม่วงและลิ้นจี่ ได้ถูกเสกสร้างและปรับแต่งให้กลายเป็นสวนสไตล์ยุโรป ตกแต่งด้วยสีสันของพันธุ์ไม้ที่เปลี่ยนปรับเฉดไปตามแต่ละฤดูกาล ณ ผืนป่าที่ถูกบรรจงเสกสร้างนั้นมีสถาปัตยกรรมตะวันตกโบราณ แทรกอยู่ในธรรมชาติอันงดงาม สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า Maison Mystique ถ้าแปลตามตัวในดิกชันนารีภาษาฝรั่งเศสจะมีความหมายว่า “บ้านที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหา”
อาคารสไตล์ยุโรปที่ไม่อาจจำแนกได้ชัดเจนว่าเป็นศิลปะของที่ใดและยุคใดนี้ แทรกอยู่ตรงใจกลางของพรรณพืชสีเขียวหลากหลายเฉดนับพันชนิด และแซมด้วยสีของดอกไม้ละลานตา ตามผนังอาคารในฤดูฝนที่อะไรๆ ก็เติบโตไว มีต้นตีนตุ๊กแกเลื้อยเลี้ยวลัดประหนึ่งเส้นเลือดปกคลุมไปทั่ว โดยเฉพาะในฝั่งที่แดดส่องถึงไม่มากนัก แต่ก็ไม่ได้รกครึ้มจนขาดความเป็นระเบียบ เพราะที่นี่มีคนสวนกว่ายี่สิบชีวิตคอยดูแลเอาใจใส่ตัดแต่งให้มันอยู่ถูกที่ถูกทางเสมอ สมดังความตั้งใจของเจ้าของโรงแรมที่ลงมือลงใจออกแบบทุกกระเบียดนิ้วด้วยตัวเอง
สถาปัตยกรรมที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความรักในศิลปะ
Maison Mystique เกิดขึ้นจากความตั้งใจของคู่สามีภรรยา คุณบัน–วิภวิน และคุณเฟิร์น–เกศชนก ธาดาสีห์ ที่ร่วมกันสร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ขึ้นมา โดยมีคุณเฟิร์นเป็นผู้ออกแบบ เธอเล่าว่า เธอหลงใหลในศิลปะตั้งแต่เด็ก แม้ไม่ได้เรียนสถาปัตยกรรมหรือออกแบบภายใน แต่การได้เดินทาง การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และสัมผัสสถาปัตยกรรมต่างประเทศ กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ขึ้นมา โดยอาศัยพื้นฐานด้านศิลปะจิตรกรรมที่เรียนมาเป็นพื้นฐาน จึงไม่แปลกใจที่ Maison Mystique เป็นมากกว่าโรงแรม เพราะเต็มไปด้วยรายละเอียดและความประณีต ความหมายและการค้นหา ความวิจิตรและลงตัว
“เฟิร์นไม่ได้เป็นสถาปนิกหรือมัณฑนากร แต่เป็นคนที่รักศิลปะมาตลอด แรงบันดาลใจทั้งหมดมาจากการผสมผสานระหว่างโลกภายนอกที่ได้เห็นกับความรู้สึกภายใน ประสบการณ์ส่วนตัว การเดินทาง การไปดูงานศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือการอ่านงานเขียนต่างๆ”
สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมออกมาเป็นแรงบันดาลใจ ความคิด และจินตนาการ จึงตั้งใจถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะที่อยู่ในรูปแบบของสถาปัตยกรรม ให้ผู้คนที่เข้ามาได้สัมผัสเรื่องราวและความรู้สึกเหล่านั้น”
บ่อเกิดจากความประทับใจในศิลปะตะวันตก
เอกลักษณ์เฉพาะตัวในการออกแบบ คือสิ่งที่สะท้อนในทุกผลงานของคุณเฟิร์น ไม่ว่าจะเป็น Featherstone ร้านอาหารบนซอยเอกมัย 12 หรือ The Apothecary Venue สตูดิโอรับจัดงานแต่งงานย่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งสองธุรกิจยังคงดำเนินอยู่ และยังแสดงให้เห็นรสนิยมที่ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือเสน่ห์ที่น่าค้นหา
“เฟิร์นเป็นคนชอบเดินทาง และชอบเห็นโลกในมุมที่ต่างออกไป แต่ละที่มีเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน และเชื่อว่า ศิลปะคือเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งศิลปะตะวันตกได้จุดประกาย Sense of Wonder ในตัวเรา โดยเฉพาะศิลปะยุคเก่า ประทับในใจในสถาปัตยกรรมเมืองเก่า สวน ตลาดนัด ร้านขายของหายาก ร้านขายของเก่า ที่ซ่อนตัวอยู่ตามเมืองเล็กๆ เสน่ห์ของการที่เราไม่ได้เห็นทั้งหมดในการมองแค่ครั้งเดียว ทำให้เราอยากค่อยๆ เดินเข้าไปสำรวจ เพื่อที่จะได้ค้นพบรายละเอียดเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย การจัดวาง หรือแสงตกระทบจากหน้าต่างที่เปลี่ยนไปตามเวลาและฤดูกาล สิ่งเหล่านี้มีชีวิตชีวาและมีเรื่องราว เหมือนกับงานศิลปะ...ที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดในตอนแรก แต่ความฉงนและความลึกลับเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้เราคิดต่อ สังเกตต่อ ได้สัมผัสและเห็นถึงความตั้งใจของผู้สร้าง ซึ่งความสงสัยใคร่รู้นี่เองที่เชื่อมโยงเราเข้ากับงานศิลปะเหล่านั้น”
Maison Mystique บทกวีแห่งสถาปัตยกรรม
จุดประสงค์ของการสร้าง Maison Mystique ขึ้นมา ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อเป็นที่พัก แต่เป็นการถักทอและร้อยเรียงประสบการณ์ศิลปะจากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน
‘ที่นี่เป็นเหมือนการสร้าง ‘งานศิลปะ’ ผ่านการผสมผสานวัฒนธรรมจากหลายประเทศเข้าด้วยกัน ประสบการณ์ที่เราได้สัมผัสถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบสถาปัตยกรรม อาจเรียกว่า ‘Old World’ หรือ ‘Eclectic Style’ ซึ่งสะท้อนการผสมผสานหลายสไตล์ในแบบของเราเอง’
การปรุงสิ่งที่ชื่นชอบหลายอย่างเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดความ “เหนือกาลเวลา” ขึ้นมา
"เฟิร์นต้องการให้ที่นี่เป็นสถานที่เหนือกาลเวลา ที่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นศิลปะยุคใด เป็นสถานที่ที่ไม่เก่าและไม่ใหม่ เป็นความประทับใจส่วนตัวที่มาจากประสบการณ์การเดินทาง รวมไปถึงความพิศวงในธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ หรือการได้มีโอกาสไปร้าน Cabinet of Curiosities ซึ่งเราก็ได้ตู้โชว์กลับมาไว้ที่โรงแรม ได้เห็นสัตว์สต๊าฟ ของสะสมต่างๆ ทั้งสวยงามและประหลาด แต่ปรากฏว่าพอมารวมตัวในที่เดียวกัน กลับมีความงดงามในแบบของตัวเอง ซึ่งทำให้เราเกิดความประทับใจ”
Escape from the world คือปรัชญาที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านอยากให้ทุกคนได้สัมผัส ได้ทำอะไรที่ช้าลง กลับมาใช้ชีวิตจริงๆ เพราะว่าโลกของเราทุกวันนี้อาจจะวุ่นวายและหมุนเร็วเกินไป และบางทีการงานที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวันอาจจะทำให้เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ดังนั้นการที่สถานที่แห่งนี้ได้ทำให้ผู้คนดื่มด่ำกับสุนทรียภาพของงานศิลปะและธรรมชาติที่แวดล้อม รวมถึงการได้รับการบริการที่จริงใจและอบอุ่น จึงเป็นความตั้งใจสูงสุด
จากภาพในจินตนาการ…สู่ความจริงแสนมหัศจรรย์
ด้วยความที่ไม่ได้เรียนออกแบบมาโดยตรง แต่ชื่นชอบศิลปะ และเรียนจบด้านศิลปกรรม ผนวกกับความใฝ่รู้ แสวงหาข้อมูลอยู่ตลอดเวลา และออกเดินทางเพื่อเติมเต็มประสบการณ์จริงด้วยสายตาและความรู้สึก คุณเฟิร์นจึงค่อยๆ ร่างทุกอย่างลงบนกระดาษ หยิบความคิดที่กระจัดกระจายออกมาจัดเรียงให้เป็นระเบียบ จนในที่สุดก็เกิดภาพที่แจ่มชัด
“ในหัวเรามีภาพที่ชัดเจนมากตั้งแต่ต้น และเชื่อเสมอว่าการทำทุกอย่างควรเริ่มจาก Inside Out”
เริ่มจากการสเก็ตช์ภาพในหัวออกมาก่อน เขียนตำแหน่งตัวบ้านและวางแผนสวนรอบๆ จากนั้นจึงค่อยวางแปลนบ้าน โดยเริ่มจากกำหนดห้องหลักๆ ที่อยากให้มี และจัดวางบนแกนหลักที่เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน สร้างเส้นสายและองค์ประกอบที่ดึงสายตาไปตามทิศทางและจุดนำสายตา และสร้างมุมมองที่ต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า Vista อย่างเช่นการจัดให้มองผ่านประตูซ้อนๆ ไปจนถึงจุดปลายทาง สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกอย่างต้องเป็นเอกภาพเดียวกัน โทนสี วัสดุ และบรรยากาศต้องสอดคล้องกัน และให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนความน่าค้นหาและความสงบ สร้างความรู้สึกของ ‘บ้าน’ บ้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น และมีจิตวิญญาณ เป็นบ้านที่ไม่ใช่แค่ House แต่คือ Home
ถ้าตัวบ้านคือหัวใจ สวนสวยที่รายรอบก็ไม่ต่างจากร่างกายที่ประดับด้วยอาภรณ์ที่งดงาม
“เมื่อเราเริ่มสร้างสวน เราขึ้นนั่งร้านเพื่อดูมุมมองจากต่างระดับ ชั้นสองจะเห็นอะไร ชั้นสามจะเห็นวิวแบบไหน เริ่มปลูกต้นมะฮอกกานีก่อน เพื่อสร้างแนวแกนหลักของบ้านที่ดึงสายตาจากประตูรั้วเข้าสู่ตัวตึก ต่อมาจึงมีการจัดชาดัดเป็นเส้นแกนเพื่อแบ่งพื้นที่สวน และนำไปสู่การลงแปลงดอกไม้ต่างๆ ชาดัดยังทำหน้าที่บังสายตาจากภายนอก เพื่อให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นภายในสวนทั้งหมด ทำให้เกิดความรู้สึกอยากเข้ามาสำรวจด้วยตัวเอง”
ตอนที่ลงต้นมะฮอกกานียังไม่มีตัวตึกเลยด้วยซ้ำ ลำต้นขนาดประมาณท่อนแขนเท่านั้น แต่ตอนนี้เติบใหญ่ให้ร่มเงาตลอดทางเดินจากประตูรั้วที่มีตราสัญลักษณ์ “MM” ติดอยู่ มายังลานหน้าตึก ทุกอย่างเกิดจากการวางแผนและจินตนาการ เพราะด้วยความที่คุณเฟิร์นมีนิสัยรักในธรรมชาติและต้นไม้มากๆ อยู่แล้ว จึงให้ความสำคัญกับสวนเป็นพิเศษในตอนคิดปลูกบ้านหลังนี้
“สวนนี้เริ่มจากเมล็ด และกิ่งเล็กๆ แล้วค่อยๆ เติบโตจนกลายเป็นสวนที่มีชีวิต สวนมีทั้งแบบ Formal และ Freestyle โดยได้อิทธิพลส่วนใหญ่มากจากสวนแบบอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน เราต้องการให้แขกที่มาพักได้ออกไปค้นหาพื้นที่สวน เหมือนกับการค้นหารายละเอียดของบ้าน และเป็นเหตุผลที่ตั้งชื่อสวนว่า The Garden of Curiosity โดยการวางผังสวน เริ่มจากการแบ่งเป็นแกน และเป็น ‘ห้อง’ เหมือนกับแปลนบ้าน แต่ละสวนมีชื่อที่สะท้อนลักษณะเฉพาะตัวเหมือนห้องต่างๆ ในบ้าน ศึกษาหาข้อมูลพรรณพืช ตามภาพที่เราคิดไว้ในหัว ตั้งแต่โทนสี ขนาดต้นไม้ รูปทรงของต้น ใบ และดอก ทุกองค์ประกอบล้วนสำคัญ ตอนปลูกต้นไม้ เราจัดทีละต้นเลย เหมือนกับการจัดวางของตกแต่งในบ้าน การสร้างสวนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ต้องทำทุกวัน ทุกช่วงเวลามีความหมาย เพราะทุกอย่างต้องอาศัยการรอคอยให้เขาค่อยๆ เติบโต”
แม้ต้นไม้ใบหญ้าจะเติบโตตามจินตนาการและการวางแผน กลับยังมีสิ่งที่เหนือความคาดหมายหลุดรอดออกมาได้ แต่ไม่ใช่เรื่องร้ายใดๆ หากเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ เพราะมีผีเสื้อและนกหายากมาอาศัยอยู่ในสวนสวยสุดพิศวงนี้มากมาย
“มันเกินกว่าที่เราคาดคิดไว้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เข้ามาเติมเต็มภาพฝันของเราโดยไม่ตั้งใจ”
รายละเอียดคือส่วนยากที่สุดในการเนรมิตบ้านหลังนี้ขึ้นมา
หากได้เดินสำรวจดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าส่วนที่งดงามที่สุดของบ้านหลังนี้ คือ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่กอปรขึ้นเป็นภาพใหญ่ ประหนึ่งตัวหนังสือที่เรียงร้อยจนเป็นนวนิยายน่าอ่านสักเล่มหนึ่ง ซึ่งถ้าผู้ประพันธ์มีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ที่ดี ก็จะโปรยเสน่ห์ซุกซ่อนไว้ตามแต่ละย่อหน้าและระหว่างบรรทัดที่รอให้ผู้อ่านตีความเอาเองตามประสบการณ์
“สำหรับเรามีความรู้สึกเหมือนมี ‘มนต์วิเศษ’ ซ่อนอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ ความงดงามไม่ได้อยู่ที่ความตระการตาหรือความอลังการ แต่ซ่อนอยู่ในรายละเอียดเหล่านั้น ทำให้พื้นที่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็น แต่เป็นสิ่งที่รู้สึกได้ หากไม่มีการใส่รายละเอียด การออกแบบจะรู้สึกว่างเปล่า และความพิเศษของรายละเอียดเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่ลูกเล่น แต่เกิดจากความตั้งใจและความจริงใจ”
บริเวณสวนที่อยู่ในบริเวณภูเขานี้ แต่เดิมไม่ได้ราบเรียบอย่างที่เห็น และยังมีเนินอีกด้วย ซึ่งต้องมีการปรับระดับดินหลายจุด เพื่อให้ออกมาตามแบบที่คิดไว้
“ในตอนแรกหลายคนไม่เชื่อว่าจะทำได้ เพราะคิดว่ายังไม่มีประสบการณ์ แต่สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ต้องใช้ความอดทนและความทุ่มเท พร้อมก้าวข้ามขอบเขตของตัวเอง โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านวัสดุและต้นทุน แม้จินตนาการของคนเรามีไม่จำกัด แต่ในเรื่องของต้นทุนนั้นมีขอบเขตของมันอยู่
ครอบครัวของคุณบันมีรากฐานอยู่ในสายงานก่อสร้าง ทุกโครงการมักมีวัสดุเหลือใช้ เราได้นำวัสดุเหล่านี้มาคัดเลือกและปรับใช้ให้เหมาะกับบ้านหลังนี้ เช่น หินต่างๆ ถูกจัดทำเป็นแพทเทิร์นสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์การออกแบบ แพทเทิร์นเหล่านี้กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของบ้าน การผสมผสานวัสดุหลายประเภทเข้าด้วยกันทำให้เกิดความหลากหลาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “เอกภาพ” ทุกองค์ประกอบ ทั้งโทนสี วัสดุ และบรรยากาศ ควรกลมกลืนและสอดคล้องกัน
เฟิร์นได้ทำงานใกล้ชิดกับช่างฝีมือที่เข้าใจวิสัยทัศน์ พวกเขาคือศิลปิน แม้เขาจะไม่ได้เรียกตัวเองแบบนั้น เราคุยกันเรื่องรูปตัดชั้นของบัว แบบราวบันได ลายถักของไม้ และจัดวางกันหน้างานเลย รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์บิวต์อิน ที่รังสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือของเรา ระหว่างทาง เฟิร์นได้เรียนรู้เทคนิคและความชำนาญจากช่างฝีมือหลายๆ เรื่อง และเราก็ร่วมกันทำให้จินตนาการเหล่านั้นกลายเป็นความจริง”
อิฐทุกก้อนมีประวัติศาสตร์ฉันใด สิ่งอันพันละน้อยในบ้านหลังนี้ก็มีเรื่องราวของตัวเองซุกซ่อนอยู่ฉันนั้น
Customer Journey ศิลปะแห่งการบริการ
สำหรับคุณเฟิร์น โรงแรมไม่ใช่แค่ที่พัก แต่คือ “งานศิลปะแห่งการบริการ” (Hospitality can be an Art Form) แขกทุกคนจะสัมผัสประสบการณ์ตั้งแต่วินาทีแรก โรงแรมแห่งนี้มีกลิ่นเฉพาะตัวที่คัดสรรไว้แล้ว มีเสียงเพลง ไปจนถึงแต่ละห้องที่มี “ความหมาย” ของตัวเอง
“การเดินทางของแขกที่มาพักถูกออกแบบตั้งแต่ก้าวแรกจนออกจาก Maison Mystique เราอยากให้แขกรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง โดยมีบัตเลอร์ต้อนรับและคอยดูแลด้วยความอบอุ่น แขกสามารถดื่มด่ำกับบริการและกิจกรรมในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องชา The Botanist’s Bible บาร์ Bar Mystère ห้องสมุดมรกต Bibliothèque Émeraude หรือห้องอาหารที่มีเพดานเต็มไปด้วยดอกไม้ The Vivarium สำหรับมื้อเช้าและมื้อเย็น นอกจากนี้ยังมีห้องจัดเลี้ยง Hall of Starry Night ไวน์เซลล่าชั้นใต้ดิน และห้องลับต่างๆ เช่น วิสกี้รูม Hidden Adam ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความพิศวง ซึ่งแขกต้องค้นหาเอง ทุกพื้นที่ถูกออกแบบด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือชวนให้แขกดื่มด่ำกับประสบการณ์ และค่อยๆ “สโลว์ดาวน์” ไปพร้อมกัน
ห้องพัก 12 แบบ 4 คอนเซ็ปต์
ส่วนสำคัญที่สุดของโรงแรมก็คือห้องพัก ซึ่งแสดงให้เห็นความใส่ใจในรายละเอียด ความเป็นส่วนตัว และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขณะเดียวกันก็สอดร้อยไปกับการออกแบบหลักที่เน้นการสำรวจ ค้นหา และความสงบสุข เพื่อให้ผู้ที่มาเข้าพักได้รับความพิเศษสุดแสนประทับใจ
"ห้องพักของ Maison Mystique เปิดให้บริการทั้งหมด 20 ห้อง แบ่งออกเป็นสี่ธีมหลัก Botanical Obscura เสน่ห์ลึกลับของพืชพรรณ ผ่านโทนเขียวสงบ และแรงบันดาลใจจากนักธรรมชาติวิทยาอย่างชาร์ลส์ ดาร์วิน Nocturnal Curiosities โลกแห่งการสะสมและความลึกลับ Siren Reverie ธีมความรักและความหลงใหล ส่วนแบบสุดท้ายคือ Celestial Lullaby พาผู้เข้าพักดื่มด่ำกับความงามเหนือกาลเวลาใต้เพดานที่เต็มไปด้วยบทกวีแห่งรัตติกาล แต่ละห้องเต็มไปด้วยของสะสม เฟอร์นิเจอร์เก่า และงานฝีมือที่ถูกผลิตขึ้นพิเศษโดยเฉพาะ”
เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่า และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
พื้นที่ดั้งเดิมของบ้านเขาวง เป็นสวนผลไม้ที่ทำกันมานาน ด้วยความที่ผืนดินอุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็ขึ้นและงอกงาม เห็นได้จากพืชพันธุ์ต่างๆใน Maison Mystique ที่แตกหน่อแตกใบเขียวขจีตลอดทั้งปี
“พื้นที่ที่นี่โอบล้อมด้วยภูเขา สิ่งแรกที่เราคิดเมื่อแรกสร้าง คือการเก็บรักษาบรรยากาศของเขาใหญ่เอาไว้ และเก็บรักษาอากาศบริสุทธิ์จากต้นไม้ทุกต้นของพื้นที่ เราออกแบบให้บ้านมีสวนล้อมรอบ ซึ่งร้อยละ 80 ของที่นี่คือสวน และสวนก็เป็นหัวใจสำคัญของโรงแรม สิ่งที่ทำให้ประทับใจมากคือสวนของเราดึงดูดผีเสื้อ นก และแมลงสายพันธุ์ต่างๆ เข้ามาอยู่ ที่นี่มีผีเสื้อหลายร้อยตัวให้เห็นทุกวัน ซึ่งไม่เคยพบในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหยุดและสังเกตธรรมชาติรอบตัวมากขึ้น บางสายพันธุ์ก็หายากมากๆ เราจึงอยากจะอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ไว้ และหวังว่าผู้คนจะได้สัมผัสเหมือนกัน
นอกจากนี้ เราได้ตั้งใจนำวัตถุดิบของท้องถิ่นมาใช้ในการปรุงอาหารด้วย เราคุยกันกับเชฟตลอด ว่าให้ใช้อะไรที่หาได้ในท้องถิ่นที่นี่ เพื่อลดการนำเข้า เราอยากให้ที่นี่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อให้เขาใหญ่เป็นที่รู้จักมากขึ้น ที่สำคัญ เราไม่ใช้สิ่งที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม เศษอาหารที่เหลือก็นำมาทำเป็นปุ๋ย ใช้ปลูกผัก ผลไม้ รวมถึงดอกไม้กินได้”
ในโลกที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวเร็วเหมือนทุกวันนี้ ความคาดหวังของผู้สรรค์สร้างนั้นเพียงอยากให้ผู้คนได้ทำอะไรให้ช้าลงบ้าง ใช้ความรู้สึก และใส่ใจกับรายละเอียดชีวิตให้มากขึ้น
“เฟิร์นอยากเห็นการสร้างสรรค์สิ่งที่เต็มไปด้วยความจริงใจและมีความหมาย และหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้สร้างบางสิ่งจากหัวใจและจิตวิญญาณของตัวเอง”
เป็นเรื่องราวของคนหนึ่งคนที่ทุ่มเททำในสิ่งที่ตัวเองรักและเชื่ออย่างตั้งใจ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่ต่างมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต