
The Revival of Crescendo
การกลับมาอีกครั้งของวงดนตรีระดับตำนานของไทย
ถ้าเป็นความเชื่อของตะวันตก วัย 50 หรือย่างวัยนี้ คือการเริ่มต้นชีวิตอย่างจริงจังของคนคนหนึ่ง นั่นเพราะชีวิตก่อนหน้านั้นเราได้ลงมือทำผิดถูก ผ่านร้อนหนาว เห็นสุขและทุกข์ จนสามารถมองชีวิตอย่างสุขุมเยือกเย็น เพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้มากขึ้น ซึ่งนี่คือสภาวะจิตใจภายในที่ยากจะไหวหวั่นสั่นคลอน
ผมเห็นสิ่งนี้ในดวงตาของ “นัท - ชาติชาย มานิตยกุล” หรือที่ใครๆ เรียกเขาติดปากว่า “นัท เครสเซนโด้” และสัมผัสได้จากน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่นมากยิ่งขึ้นของเขา แม้จะยังติดลูกเล่น ฮา กวน ชวนหัว ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ไม่อาจลบเลือนออกไปได้ แต่ความมั่นคงแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนตลอดเวลาที่นับถือเป็นเพื่อนกันมาได้ปรากฎแทรกขึ้นในบุคลิกอันเป็นกันเองของเขา
นัทสั่งเอสเพรสโซกับโคล่ากระป๋อง และเทสองอย่างที่ไม่น่าเข้ากันลงในแก้วน้ำแข็ง คนสองสามที แล้วดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ด้านล่างมีเสียงตีกลอง และเสียงตะโกนใส่ไมค์ของรุ่นพี่ที่ยังคงไม่คุ้นเคยการใช้เครื่องขยายเสียงดังลอดห้องกระจกของคาเฟ่ชั้นสองของคณะอุตสาหกรรมเกษตรที่อยู่ชั้น 2 ขึ้นมาบ้างเป็นระยะ แต่ก็ไม่ถึงกับรบกวนการสนทนาของเรา
ดีเสียอีก เพราะบรรยากาศรับน้องแบบนี้ ทำให้นึกถึงวันแรกที่เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ตอนนั้นก็มีเสียงอึกทึกแบบนี้ เพียงแต่คนละสถานที่และเวลาเท่านั้นเอง
หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบ โอบกอด และถอยออกมามองความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของกันและกันสักพัก คำผรุสวาทและบรรยากาศเก่าๆ สมัยเราเป็นหนุ่มน้อยก็หวนกลับมา จะกี่ปีก็ต่อกันติด จะแปลกหน่อยก็ตรงที่เรามักจะเจอกันในช่วงที่ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่อยู่เสมอ เหมือนความเอื้ออาทรส่งถึงกันจนต้องมาพบกัน
วันนี้ก็ไม่ต่าง ผมนัดกับนัทมานั่งคุยถึงการกลับมาทำดนตรีอีกครั้งของเขากับ “วงเครสเซนโด้”
ทำไมถึงกลับมาทำวง
(ตอบไม่ตรงคำถาม) ในระหว่างที่ลาออกจากวงไปครั้งแรก ด้วยเหตุผลแบบปุถุชนทั่วไปเลย คือทะเลาะกัน มีความบาดหมาง ความน้อยใจ ความโกรธ ตอนแยกออกจากวง มันบาดเจ็บทั้งกายและใจ ทางกายคือเสียงพัง ต้องยอมรับว่าตลอดเวลาที่ร้องเพลงกับ Crescendo มา เราไม่ใช่นักร้องหรือนักดนตรีที่ฝึกฝนในฐานะนักร้องมืออาชีพมาก่อน เราเป็นพวกจิตนิยม เราชอบเอาความรู้สึกนำมาก่อน รู้สึกอย่างไร ก็ร้องออกไปแบบนั้น เราไม่ได้รู้ทักษะการร้องเพลงอย่างที่ควรจะเป็นในฐานะมืออาชีพ ซึ่งในความคิดของผมมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เพียงแต่ว่าการเข้าไปอยู่กับวงที่...ในความเห็นของผมคือ พวกเขาเป็นไฟเตอร์ พวกเขาจึงไม่ใช่วงที่จะมารองรับหรือเป็นแบ็คกราวด์ให้กับเสียงร้อง แต่เป็นวงที่พุ่งอยู่เสมอ เสียงของนักร้องจะต้องตอบสนองกับดนตรีในทันทีทันใด เป็นวงที่เล่นสดแล้วจะอิมโพรไวส์ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นลักษณะการใช้ชีวิตกับวงนี้จึงค่อนข้างยาก
อิมโพรไวส์ยังไงบ้าง?
ไม่เหมือนแผ่น ไม่เหมือนซีดี ไม่เหมือนเทป ไม่เหมือนเรคคอร์ดดิ้ง เขาอยากจะเล่นอะไรกัน ก็จะมีการแจมแบนด์กันขึ้นมาทันทีทันใดในเวทีนั่นแหละ
เพราะว่าพวกเขาเรียนดนตรีกันมาโดยตรง?
ผมเป็นนักร้องที่ไม่ได้จบดนตรี เพราะฉะนั้นต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว แล้วก็ครูพักลักจำเอา ซึ่งผมก็ทำได้ดีนั่นแหละ อยู่กันได้ แต่ว่าด้วยความที่พอเราเริ่มอยู่ได้ เลยยิ่งทำให้เขาเพิ่มความเข้มของดนตรีขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วในวันหนึ่งที่เราไม่ได้รักษาระวังตัวเองให้ดี อย่าลืมว่าอาชีพนี้ ส่วนใหญ่เป็นงานร้องเพลงกลางคืน ซึ่งมันทำลายสุขภาพอยู่แล้ว คอนเสิร์ตส่วนใหญ่เล่นเสร็จอย่างน้อยก็ 4-5 ทุ่ม หรือเที่ยงคืน ทำให้กินข้าวถูกเวลาบ้าง ไม่ถูกเวลาบ้าง กินหลังเล่นบ้าง สุดท้ายพอระยะเวลาผ่านไป สิ่งที่ส่งผลคือ ผมเป็นกรดไหลย้อนโดยไม่รู้ตัว สองคือเส้นเสียงมีปัญหา เขาเรียกว่า “โรคนักร้อง” คือเส้นเสียงมันจะเป็นก้อนเนื้อ (Nodule) ขึ้นมา ปกติเส้นเสียงมันจะติดกัน แต่พอมีเม็ดเกิดขึ้นมา มันก็เลยไม่สนิทกัน วิธีรักษาหนึ่งคือการผ่า สองหรือกินยา แต่ว่าการผ่าก็ไม่ได้การันตีว่าจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ อาจจะเหมือนขาหักแล้วต้องกลับมาฝึกเดินใหม่ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้ตัว แค่สงสัยว่าทำไมเสียงเราแหบ ช่วงนั้นอยู่แกรมมี่ เป็นค่ายที่ต้องการคุณภาพสูงที่สุดด้วย วันหนึ่งผมมีโชว์ ปรากฎว่าเสียงไม่มีเลย คิดว่าตัวเองคงนอนไม่พอ ผมก็พยายามหาวิธีรักษาตัวเองด้วยการยาชื่อว่า เดนเซน (Danzen) ซึ่งเป็นยาลดเส้นเสียงบวมมากิน นอกจากนั้นก็พยายามหาวิธีรักษาหลายๆ ทาง เพื่อทำให้กลับมาร้องเพลงได้ สุดท้ายก็ไม่ดีขึ้น จนโชว์มันแย่ลงเรื่อยๆ นี่คือจุดเริ่มต้นหนึ่งของการลาออกจากวง และสร้างความผิดหวังให้กับทุกๆ คน ทั้งวง ทั้งตัวผมเอง และค่ายด้วย ก็เลยกลายเป็นบาดแผลครั้งใหญ่ของผม เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วได้
ทำใจได้เหรอ เพราะการร้องเพลงเป็นสิ่งที่คุณรักมากที่สุด
แต่พออกมาแล้ว ก็ยังไม่ยอมแพ้นะ อยากพิสูจน์ตัวเองว่ายังร้องเพลงได้ ก็ไปอยู่ค่ายอื่น ไปออกซิงเกิ้ลร้องเพลงละครบ้าง แต่ผมจะเลี่ยงการร้องสด เพราะไม่แน่ใจว่าจะยังร้องได้ดีอยู่ไหม ก็จะรับแต่งานสตูดิโอ งานเร็คคอร์ดดิ้ง หลังจากออกจากวงได้ประมาณ 4-5 ปี ผมมีผลงานออกมาในนาม “นัท ชาติชาย” อยู่บ้าง ทั้งงานของผมเองและงานเพลงประกอบละคร
ส่วนวงเก่า พอผมลาออกก็มีการจัดรายการ Next Crescendo เพื่อหานักร้องใหม่ จนสุดท้ายก็ได้นักร้องชื่อ “น้องเก้ง” ซึ่งหล่อ เสียงดี มาร้องนำต่อจากผม เป็นนักร้องคนที่ 4 ของวง หลังจากน้องเก้ง วงก็ยุบไป เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วได้
ในระหว่างทางที่ผมออกจากวงจนถึงวันนี้ รวมนับ 10 ปีได้ ผมผ่านทั้งความเจ็บปวดทางกายและใจ ผ่านการรักษาตัวมาเรื่อยๆ รวมทั้งการสูญเสียอะไรหลายๆ อย่าง ผมสูญเสียพ่อ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก ทำให้ผมอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น ใกล้ธรรมมากขึ้น ปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น ที่บอกว่าธรรมพาผมกลับมาก็คือ ความเกลียดที่อยู่ในใจนั้น จริงๆ แล้วมันมีทั้งความรักและความเกลียด เพราะถ้าเราไม่รักก็จะไม่มีทางเกลียดเขาได้เลย พอวันหนึ่งได้กลับมาเจอสมาชิกวง ในวันและเวลาที่มันเปลี่ยนแปลงไป ธรรมก็ส่งผล
เหตุผลอะไรที่ทำให้กลับมาเจอกัน
จริงๆ ไม่ได้มีความคิดว่าจะกลับมารวมวง ผมไปเจอพี่เอกก่อน เพราะว่าเขาเปิดร้านกาแฟ ปีหนึ่งก็จะโผล่ไปครั้งหนึ่ง ด้วยความคิดถึงก็ไปนั่งคุย นั่งคุยกันได้ปกติดีไม่มีอะไร แล้วเขาก็ชวนผมทำเพลง ผมก็ตอบว่าได้พี่ ส่งมาเลย แล้วก็ห่างหายกันไป จนไปเจอคุณแชมป์มือกีตาร์ ซึ่งก็ไม่ได้คุยกับวงแล้ว เพราะว่าก็มีเรื่องบาดหมางเหมือนกัน พอไปเจอคุณแชมป์ คุณแชมป์ก็ชวนทำ ผมก็ทำกับเขา ก็ออกมาเพลงหนึ่งในนาม Natty and the Champ ก็ไม่มีอะไร ทำแล้วก็ลงยูทูบ แล้วก็ห่างหายกันไปอีก ต่อมาก็ไปเจอคุณนรเทพที่งานศพคนรู้จัก ตอนนั้นก็หมดสิ้นความรู้สึกด้านลบไปหมดแล้ว ผมเจอเขา ผมก็กอดเขา พูดกับเขาว่าที่ผ่านมา ไม่รู้เราจะตายวันตายพรุ่งนะพี่นะ ขอกอดทีนึง ทุกอย่างที่บาดหมางกันมา หมดละนะ เขาก็กอดผมกลับ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการกลับมาทักทายกันในโซเชียลเหมือนเดิม
ดูเหมือนว่าคุณเป็นกาวใจให้กับสมาชิกในวง
ถ้าเล่าในมุมผมก็จะประมาณนี้ พอผมกลับมาเจอพี่เอกมือกลองอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าพี่เอกในฐานะวง Crescendo เขาเป็นคนคิดชื่อวง และก็ออกจากวงเป็นคนแรก โดยที่เขาเองก็ยังรู้สึกโหยหาคำว่า Crescendo ที่สุด ต้องนั่งมองคนอื่นใช้วงชื่อที่เขาคิดขึ้นมาหลายปี ผมก็บอก “พี่อยากทำไร พี่ทำเลย ผมมีเวลาและกำลังวังชาที่จะทำได้อีกสักชุดใหญ่เลย ถ้าเกิดพี่อยากทำ พี่ทำเลย” ในใจที่ผมคิดก็คือ ทำเสร็จก็แยกย้าย ไม่ได้ต้องมาต่อเนื่องอะไรกันยาวนาน ผมคิดแค่นั้น เหมือนเป็นมาสเตอร์พีชทิ้งทวน เขาก็บอกให้ผมไปจัดการคุยกับคนนู้นคนนี้มาละกัน ได้ความเห็นยังไงก็บอกด้วย
แต่ด้วยความที่ผมเป็นคน “สะเล้” คำว่าสะเล้ในภาษาเด็กดุริยางค์ก็คือ “ไม่ค่อยจริงจัง” ปล่อยไปเรื่อย เมื่อไรก็เมื่อนั้น ผมก็เลยไม่ได้โทร.ไปหาใครสักที คิดว่าอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยโทร.ก็ได้ แต่ปรากฏว่าคืนนั้นคุณเอกพงศ์เขาโทรหาคุณนรเทพ มาแสง เลยทันที ก็กลายเป็นว่าอีกวันหนึ่งเขาก็นัดกันเลย ผมก็พลอยตกใจไปด้วย เพราะยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเท่าไร แต่ผมก็ไปเจอที่บ้านของคุณเอกตามที่เขานัดหมายกัน ปรากฏว่าเขาก็คุยกันไปยาวละ ตกลงอะไรกันเยอะแยะ ผมไปถึงผมก็ได้แต่รับฟัง ทุกคนก็ต่างมีความคิดของตัวเอง ผมก็ปล่อยไปเลยตามเลย ให้กระแสน้ำไหลไปก่อน เพื่อให้ทุกอย่างมันแลนดิ้งซอฟต์ที่สุด เพราะนี่คือสิ่งที่ผมต้องการ คือการได้กลับมาเจอกัน ทุกอย่างปลอดโปร่ง อยากให้มันจบสวยๆ ที่สุด นี่ก็เป็นเหตุผลที่กลับมารวมวงด้วยไลน์อัพออริจินอลทั้งหมด...ยกเว้นผมคนเดียว
แสดงว่าการวมตัวกันรอบนี้ ทางวงน่าจะเบามือกับคุณมากหน่อยในทางดนตรี
ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะทุกคนบอกว่าให้นัทร้องในแบบที่นัทร้องได้ และร้องไหว อยากลดคีย์ตรงไหนให้บอก ผมก็เลยกลับไปเช็กเพลงก่อนๆ หน้านี้ ก็เลยทำให้เข้าใจแล้วว่าทำไมเสียงของผมถึงพัง เพราะตอนแรกที่ผมเข้าร่วมวง ผมไม่เคยเช็กระดับเสียงและคีย์ของตัวเองว่าเหมาะกับเพลงเดิมไหม ทำให้ผมต้องโหนเสียงตามนักร้องเดิม ซึ่งจริงๆ แล้วไม่เหมาะ เพราะว่านักร้องคนแรกเขามีระดับเสียงที่กว้างแล้วก็สูงกว่า แล้วการที่ไปร้องตามเขาทำให้ผมต้องโหนเสียงอยู่หลายปี ก็เลยเป็นเหตุให้เสียงพัง เลยมีการตกลงกันว่าแต่ละเพลงจะลดลงอย่างละ 1 คีย์ ตามระดับเสียงของผม แต่เล่นไปเล่นมาทุกคนก็เริ่มบ่น ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาเล่นคีย์เดิม (หัวเราะ) เพราะเวลาลดคีย์มาทางนิ้วมันเปลี่ยน คุณแชมป์กับคุณนอเนี่ยบ่นก่อนเลย แต่สุดท้ายก็ยอมนะ ทำให้เห็นว่าการกลับมารวมวงกันครั้งนี้มีความรอมชอมกันมากขึ้น (หัวเราะอีกครั้ง)
ในแต่ละยุคที่เปลี่ยนนักร้อง แนวทางดนตรีของ Crescendo ก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน
ใช่ครับ ตอนเป็นคุณบี (นักร้องคนแรก) แนวเพลงจะเป็นโซล-ฟังก์ พอเป็นพี่ริค (นักร้องหญิง) ก็จะมีความเป็นเวิลด์มิวสิค เพราะนักร้องนำเป็นอย่างนั้น ดนตรีก็เปลี่ยนตามไปด้วย พอมายุคผมกลายเป็นแจ๊ส-ร็อก ซึ่งหนักหน่วงขึ้นมาหน่อย แต่ก็จะมีโหมดอิมโพรไวส์แบบแจ๊ซๆ ด้วย ส่วนมารอบล่าสุดนี้เราก็คุยกันเยอะ สมาชิกในวงก็ไม่ได้อยากจะใส่อะไรยากๆ ลงไปนัก แต่อยากจะทำอะไรที่คูลๆ มากกว่า เหมือนอย่างวง Toto ที่ฟังดูเหมือนจะเล่นง่าย แต่จริงๆ แล้วยากไม่ใช่เล่น เพราะเราอยากจะไปโฟกัสที่การคอมโพสต์ที่ละเมียดมากขึ้น จะไม่โฉ่งฉ่าง อาจจะไม่มีซิกเนเจอร์ที่แปลกๆ แบบที่ทุกคนอยากฟัง เพราะในสมัยแรกที่ผมมาร้องนั้น ดนตรีจะมีไทม์ซิกเนเจอร์แปลก ไม่ใช่ 4:4 แต่เป็น 7:4 บ้างอะไรบ้าง ก็จะยากสำหรับนักร้องอย่างผมอยู่พอสมควร (หัวเราะ) เราก็จำใจร้องไป เขาแฮปปี้ เราก็แฮปปี้ด้วย (หัวเราะอีกครั้ง)
สรุปก็คือ ในยุคใหม่นี้ เราจะทำให้มันคูลมากขึ้น ละเมียดมากขึ้น รุ่นใหญ่มากขึ้น
คิดว่าปีนี้ เราจะได้เห็นอัลบั้มใหม่ไหมครับ
คือคุณนอบอกว่าภายในปีนี้ต้องเสร็จ ก็นับตั้งแต่วันที่ไปเล่นที่ร้านน้อง ท่าพระจันทร์ (23 มิถุนายน 2568) ว่าอยากให้เสร็จภายใน 1 ปี คือถ้านับตั้งแต่วันนั้นก็ตีไปอีกปีนึง (หัวเราะ) ซึ่งสำหรับผมก็ว่านานเกินไป เพราะถ้าทุกคนใส่ใจ ฟิตๆ กันหน่อย ซ้อมกันจริงจังสักเดือนสองเดือนก็เสร็จได้ เพียงแต่ว่าวิถีในชีวิตประจำวันของทุกคนอาจจะทำให้มารวมตัวกันได้ยากหน่อยในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตามผมว่าอยู่ในไทม์ไลน์ประมาณนี้แน่นอน คิดว่าแฟนๆ ได้ฟังกันแน่นอน
และตอนนี้มีเพลงหนึ่งทำเสร็จแล้ว ชื่อว่า “ช่วงหนึ่งแห่งทรมาน” ลง Youtube ของ @crescendothailand เป็นเพลงรัก เราทำเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการทดลองการทำงานด้วยกันอีกครั้ง จึงไม่ได้โปรโมตอะไร ยอดวิวเลยยังไม่มี
คิดว่าตอนทำจริงๆ จะค่อยๆ ปล่อยซิงเกิ้ลหรือปล่อยรวดเดียวทั้งอัลบั้มเลย
ก็ถกเถียงกันอยู่ครับ คือการอัดสดพร้อมกันเป็นเสน่ห์ของ Crescendo มันได้ทั้งความสด ได้ทั้งพลังงาน ซึ่งถ้าฟังวงอื่นจะไม่ได้มีตรงนี้มากเท่ากับเครสเซนโด้ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเรา แต่ก็ใช้เวลาเตรียมตัวเยอะ ในขณะที่การอัดแยกชิ้น แม้จะควบคุมง่ายกว่า แต่ก็อาจจะขาดความรู้สึกบางอย่างไป ตอนนี้เราก็ยังหาจุดที่ลงตัวกันอยู่ แต่ใจผมก็อยากให้มีการอัดสดร่วมกันเหมือนเดิม เพราะมันคือตัวตนของวง
การเป็นศิลปินอิสระในยุคนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ?
มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเรามีอิสระเต็มที่ในการสร้างสรรค์งาน รับงานเองได้ แต่ข้อเสียคือเรื่องงบประมาณในการโปรโมท มันไม่เหมือนตอนอยู่ค่ายใหญ่ที่มีเงินทุนให้เราทำทุกอย่างได้เต็มที่ แต่เราก็กังวลเรื่องลิขสิทธิ์ในการทำงานกับค่าย เพราะมักมีปัญหาเวลาไปเล่นโชว์ตามที่ต่างๆ อย่างที่เราประสบมาโดยตลอด ซึ่งตอนนี้เราโฟกัสที่การทำเพลงให้เสร็จก่อน จะมีค่ายไม่มีค่าย เราค่อยว่ากันอีกที เพราะยุคนี้มันก็มีช่องทางของมันเอง ทั้ง YouTube ทั้ง Streaming แล้ววงของเราก็ไม่ได้โนเนมจนขายงานไม่ได้เลย ให้งานเสร็จเป็นลำดับไป ก็จะมีความชัดเจนมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเราก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวกันไป
เส้นทางการเป็นนักร้องของคุณเริ่มต้นอย่างไร? ทำไมต้องทำอะไรตั้งหลายอย่างเพื่อแลกกับการได้อยู่กับดนตรี?
ผมเรียนเอกศิลปะ แต่สิ่งที่จับมากกว่าพู่กันคือกีตาร์ จนอาจารย์บอกให้ไปเรียนดุริยางค์ แต่ผมก็ไม่ไป เป็นคนดื้อด้านหน่อยๆ เหมือนแมวน่ะครับ จับหัวก็ถอย จับหางก็เดินหน้า ผมชอบย่อยทุกอย่างเป็นอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะจิตรกรรม ดุริยศิลป์ หรือวรรณกรรม อะไรก็ตามที่เป็นสื่อของความรู้สึก ผมไม่ได้ตีความว่าเป็นดนตรี พอเล่นดนตรีแล้วอินกับทำนองเนื้อร้อง ผมก็จะทำมันอยู่อย่างนั้น จดจ่อกับมัน โดยไม่รู้ว่าเป็นดนตรี ผมทำด้วยความรู้สึก เพราะผมหลงใหลไปกับเมโลดี้ เนื้อหา และการดีดกีตาร์ แต่ผมไม่รู้ว่าองค์ประกอบมันคืออะไรบ้าง ผมก็จะมิกซ์รวมทุกอย่างแล้วก็เปล่งออกมา แสดงออกมา นั่นคือสิ่งที่ผมชอบ และก็ติดอยู่ในภาวะนั้น ก็เลยทำสิ่งนี้กับตัวเองมาโดยตลอด
ตอนเรียนคุณทำวงดนตรีด้วยไหม
ก่อนหน้า Crescendo ผมมีวงชื่อ "4 Monkey Season" ทั้งวงจบเอกดนตรีเหมือนกัน ตอนนั้นเราก็มีความฝันเหมือนคนทั่วไปคืออยากมีวงของตัวเอง พอดีมีโอกาสได้ไปเล่นในงาน "Live in a Day" ครั้งแรก นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้ร้องเพลงจริงจัง และประสบความสำเร็จด้วยดี สนุกสุดเหวี่ยงกันมาก ได้เพื่อนๆ เยอะ ซึ่งวงที่เล่นในวันเดียวกันนั้น และดังในวันนี้ก็อย่างเช่น วง Play Ground วงภูมิจิต เหตุการณ์ในวันนั้นพิสูจน์ให้ตัวผมรู้สึกว่าเราเองก็สามารถเป็นนักร้องนักดนตรีจริงๆ ได้ หลังจากนั้นจึงมีโอกาสได้ออกอัลบั้มกับค่ายอินดี้ชื่อ Music Mark Two ซึ่งภายหลังก็ปิดตัวไป ส่วนอัลบั้มก็เจ๊งไม่เป็นท่าเหมือนกัน แต่ก็มีเพลงหนึ่งที่ผมแต่งจากอัลบั้มนี้ชื่อ "พรข้อสุดท้าย" ได้จับพลัดจับผลูไปรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลง Love Is Volume 1 ซึ่ง “เลิฟ อิส” คือค่ายที่พี่บอย โกสิยพงษ์ และพี่สุกี้ตั้งขึ้นมาหลังจากค่ายเบเกอรี่ปิดตัวไป
ทำไมตอนนั้น Music Mark Two กล้าเสี่ยงกับวงหน้าใหม่อย่างเรา ทั้งที่เขาก็เป็นค่ายใหม่เหมือนกัน
รู้จักวง Styrene Jungle ไหม ที่มี “โอ๋ ฟูตอง” ร้องนำ วงนี้เป็นวงเปิดตัวแรกของค่าย และก็มีงานที่ดีมากๆ และก็มีวง The Waiter จากร้านแซกโซโฟนด้วย โดยมีวง 4 Monkey Season ของผมเป็นวงที่ 3 ซึ่งเขาสนใจวงของผมจากงาน Live in a Day นั่นแหละ
การตั้งใจทำงานต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างก้าวต่อไปราวถูกชะตากำหนด
จนถึงวันนี้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างถูกจัดวางไว้แล้ว วันที่ผมกำลังจะไปเซ็นสัญญาเป็นศิลปินเดี่ยวกับค่าย Music Bugs ที่ RCA แล้วผมก็ดันแวะกินกาแฟในร้านที่อยู่ข้างๆ กัน ก็เจอวง Crescendo นั่งอยู่ครบวงในวันที่เขาไม่มีนักร้อง จำได้ว่าตอนนั้นผมเรียนจบปริญญาโทแล้ว กำลังจะสมัครเข้าเป็นอาจารย์สอนที่ ม.รามคำแหงต่อไป คิดว่าเส้นทางดนตรีของผมคงจบลงแค่นี้ และขอแค่ได้ทำเพลงเป็นงานเสริมบ้างก็เพียงพอ คือตัดใจแล้ว กะว่าทำงานกินเงินเดือนไปเรื่อยๆ และหาดนตรีเล่นบ้างก็เท่านั้น
ตอนนั้นนั่งอ่านสัญญาอยู่บนค่าย Music Bugs มันหลายหน้า เลยทำให้อยากกินกาแฟ เลยขอเขาเอาสัญญาลงมาอ่านที่ร้านกาแฟด้านล่าง แต่เขาไม่อนุญาต เพราะเป็นความลับบริษัท ก็เลยลงมาตัวเปล่า กะว่าจะซื้อขึ้นไปกินด้านบนออฟฟิศและอ่านสัญญาต่อ แต่ก็นั่นแหละครับ...
วงเครสเซนโด้กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดี พี่นอก็จำผมได้ เพราะเคยเป็นโปรดิวเซอร์ให้ 4 Monkey Season เขาเลยชวนไปร้องเพลงเฉพาะกิจที่ร้าน Overtone ตอนซ้อมผมทึ่งมาก พวกเขาเก่งจนทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลุดไปอีกมิติ แต่พอถึงวันงาน ปรากฏว่าเขาไม่ให้ผมขึ้นเล่น เพราะนักร้องคนเก่ามาที่งาน หลังจากคืนนั้นวงก็ติดต่อมาอีกครั้ง แล้วชวนเข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ผมก็เลยทิ้ง Music Bugs ไปเลย เพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้สนุกกว่า
แต่ดูเหมือนคุณมีผลงานกับ Music Bugs อยู่นะถ้าผมจำไม่ผิด
มีครับ ชื่อวงผมคือ The Answer มีเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่หนึ่งเพลง และเอาเพลงของ Big Ass มาทำใหม่อีกหนึ่งเพลง ซึ่งทางค่ายให้ทำเองหมดทุกอย่าง ผมเองก็ไม่ใช่สายดนตรีแท้ ก็งมอยู่จนเสร็จ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เซ็นสัญญา เพราะมาเจอกับเครสเซนโด้เสียก่อน
ผมเข้าใจว่าตอนนั้น ทางวงไม่ได้ต้องการหาคนที่เก่งกาจอะไรมากนัก แต่ต้องการคนที่ควบคุมได้ หนึ่งคือเป็นรุ่นน้อง ยิ่งเป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้วยิ่งดี เอามาเติมได้ บอกกล่าวได้ เพราะเขาผ่านคนที่เก่งๆ มาแล้ว เหมือนเสือที่อยู่ถ้ำเดียวกัน ก็เลยมีกัดกันบ้าง ส่วนตัวผม เขาอาจจะชอบเพราะว่าผมไม่มีอีโก้ ไม่มีอัตตา นิสัยก็เรื้อนๆ ซึ่งทางวงกล่าวต้อนรับผมอย่างเป็นทางการบนเวที “แฟต โชว์เหนือ ครั้งที่ 1” ซึ่งงานนั้นทุกคนมารอดูหน้ากันเพียบ เพราะเครสเซนโด้ปล่อยข่าวออกไปแล้วว่ามีนักร้องใหม่ (หัวเราะ)
งาน “แฟต โชว์เหนือ ครั้งที่ 1” ยังไม่มีเพลงใหม่ ยังไม่ได้คลอดเพลง “ใจกลางความเจ็บปวด” เลยต้องเอาเพลงสมัยนักร้องคนเก่ามาร้องทั้งหมด ซึ่งล้วนเป็นเพลงที่ติดหูคนฟังแล้วทั้งนั้น คนที่เข้ามารอดู สักพักก็เดินออกไป ผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะธรรมชาติก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ร้องไป เหยียบสายแจ็กหลุดไป แต่วงก็ไม่ได้อะไรกับผมนะตอนนั้น
ตื่นเวทีเหรอ?
ตื่นสิครับ โอ้โห (เสียงสูง) เพราะตอนทำวง Four Monkeys Season เราก็ไม่ได้มีคอนเสิร์ตบ่อย แล้วเวทีงานแฟตคนเยอะมาก พิธีกรก็ประกาศเรียกแขกว่า เครสเซนโด้ขึ้นแล้ว มาดูนักร้องใหม่กัน คนก็แห่กันมา ดูได้หน่อยนึงก็กลับกันออกไป วันนั้นเล่นไป 4-5 เพลง พอลงจากเวที พี่นอซึ่งเป็นหัวหน้าวงก็เดินเข้ามาโอบกอดและกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงเครสเซนโด้”
การทำงานกับวงดนตรีระดับแถวหน้าของเมืองไทยเป็นยังไงบ้าง
วงเครสเซนโด้ของเราจะมีข้อตกลงกันอยู่ว่า “ทุกๆ อย่างในชีวิต เครสเซนโด้มาก่อนเสมอ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องสามีภรรยา เรื่องพ่อแม่ หรืออะไรก็ตาม งานต้องมาก่อนเสมอ เรื่องอื่นไปหาทางจัดการเอาทีหลัง ทำให้ทุกคนโฟกัสที่วงก่อน แต่กฎนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง
ผมเองตอนนั้นก็ทำได้ดี เพราะเดินไปกฎตามเกมของพวกเขา จนวันที่เพลง “ใจกลางความเจ็บปวด” ดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา ดังจนผมดูหล่อไปเลย เสียดายแต่ว่าในยุคนั้นไม่ตัวตัวชี้วัดว่าคนกดดูไปแล้วกี่ล้านวิวเหมือนทุกวันนี้ แต่รู้ว่าดังมาก เพราะว่าไปเล่นที่ไหน ใครๆ ก็ร้องตามได้หมด
ผมต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองใหม่ให้ดูดี ไปทำฟันที่เคยบิ่น เพราะกระแทกไมโครโฟนตอนไปแสดงดสที่ Brick Bar ต้องแต่งตัวให้ดูดีอยู่เสมอ เสื้อผ้าหน้าผม แต่ก็ทรมานนิดหน่อย เพราะพื้นนิสัยผมเป็นคนเรื้อนๆ อย่างที่คุณก็รู้ดี (หัวเราะ)
ทำให้วงอยู่ต่อเนื่องไปได้อีก 2-3 ปี ขณะเดียวกันก็ทำให้เข้าใจสัจธรรมว่าพอมีเพลงดังก็จะมีเพลงที่ไม่ดัง ทำให้เราต้องย้ายค่าย
ปัจจัยในการย้ายค่ายคืออะไรบ้าง
คือส่วนใหญ่จะมีการชักชวนจากคนอื่นก่อน ซึ่งประกอบกับเรารู้สึกว่าทางสังกัดเดิมทำให้เรายังไม่พอ (ซึ่งเขาก็ทำดีอยู่แล้วนะ) พอหันกลับไปมองอีกทีก็จะเห็นบทเรียนว่า ตรงนั้นแหละที่เหมาะและดีกับเราที่สุดแล้ว แต่เราดันอยากได้งานที่ดีกว่านี้ ที่มากกว่า ส่วนเรื่องรายได้ก็เป็นส่วนหนึ่ง แม้สำหรับผมอาจจะไม่เกี่ยวมาก แต่คนอื่นๆ น่าจะต้องการรายได้ที่มากขึ้น ถ้ามีโชว์ที่มากขึ้น แต่ใครจะไปคิดว่าวงเครสเซนโด้ออกเพลงมาแล้วจะไม่ดัง (ถอนใจ) เพราะมันดังมาตลอด ดังมาทุกยุค แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนนักร้อง ก็ยังดังอยู่ แสดงว่าดนตรีมีความแข็งแรงกว่าทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ถ้านักดนตรียังอยู่ครบก็ไม่ต้องกลัวอะไร ไปอยู่ไหนก็ได้สิ เราก็ย้ายจากโซนี่ไปสไปซี่ดิสก์ ตอนนั้นก็มีเงื่อนไขคือ “ขอค่ามาสเตอร์เท่าเดิม” แต่อัลบั้ม RAW ที่เราคิดว่ามีเพลงเด็ดๆ หลายเพลง ทั้งเพลงแมสๆ เพลงที่โชว์ฝีมือ แต่กลับไม่มาเลยสักเพลง พอไม่ดังก็เลยเกิดวิกฤต งานโชว์จากที่เคยมีเยอะๆ หายวับ พอเงินหมดปัญหาก็มา ก็เริ่มระหองระแหงกัน เริ่มทะเลาะกัน เริ่มคิดโชว์ไม่ออก ถึงขนาดว่าอยากได้นักร้องหญิงเพิ่มอีกสักคน ความคิดต่างๆ หลั่งไหลเข้ามา จนมันอิ่มตัวขนาดที่ว่าพี่เอกมือกลองประกาศลาออกจากวง ก็เกิดปัญหา เพราะว่าเพลงที่เคยเล่นได้ของ 4 คนนี้ กลับเล่นไม่ได้ ก็เลยทำให้ต้องตัดออกหลายเพลงเวลามีโชว์ มีมือกลองมามาใหม่ก็เล่นเฉพาะเพลงที่เขาแทนได้ ซึ่งช่วงนั้นคือช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่รั้วแกรมมี่ เพราะมีโปรดิวเซอร์คนหนึ่งมาชักชวนให้ไปเจอกับ “คุณฟ้าใหม่” ที่ดูแลค่ายสนามหลวงอยู่
คราวนี้ถูกที่ถูกทางไหมครับ เพราะค่ายใหญ่ขนาดนี้
สำหรับผมคิดว่า ยิ่งไปกว่าของเดิมอีก จากที่เราเคยอัดพร้อมกัน 10-12 เพลงต่ออัลบั้ม อัดให้เสร็จภายใน 2-3 วัน แล้วก็จบ! เสร็จแล้วครับ....ขอส่งมาสเตอร์ แต่พอมาอยู่ที่นี่มันไม่แบบนั้น จริงๆ ในเมืองไทยมีวงดนตรีที่สามารถอัดสดได้เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ใช้วิธีนี้ แต่เครสเซนโด้กลับเลือกใช้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรา ที่คนเลือกใช้วิธีนี้น้อย เพราะต้องการสมาธิสูง ต้องซ้อมเยอะ ต้องเล่นไม่ผิด หรือผิดก็ต้องยอมรับกันได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะอัดกันประมาณ 4-5 แทร็ก จากนั้นก็มาคุยกันว่าจะเอาเวอร์ชั่นไหน ซึ่งถ้าตกลงเลือกแล้ว ใครทำพลาดไว้ในแทร็กนั้นๆ ก็จะมีรอยแผลไปตลอดชีวิต (หัวเราะ) เพราะว่ามันจะอยู่ในเรคคอร์ด ซึ่งทุกคนในวงชอบ จนกลายเป็นจริตของเรา แต่พอมาอยู่ที่ค่ายใหญ่ นอกจากจะต้องอัดทีละแทร็กแล้วก็เสร็จนะ และก็ไม่ใช่ว่าเราคิดแนวทางการทำงานเป็นสิบเพลงแล้วเอามาทำได้เลย แต่เขาจะขอฟังก่อนเพลงหรือสองเพลงที่คิดว่าขายแน่นอน แล้วเขาก็จะส่งต่อให้ค่ายต่างๆ คนต่างๆ ในตึกฟังก่อนว่าได้ไหม มีความเห็นว่ายังไง
พอวิธีการมันผิดเพี้ยนไป ทางวงก็เลยผิดตามไปด้วย เพราะเราไม่ถนัดแบบนี้กัน งานที่ออกมาก็ไม่มีกลิ่นอายของไลฟ์มิวสิคเหมือนอัลบั้มก่อนหน้า กลายเป็นยากกับเรา แต่ง่ายกับเขา เอาเป็นว่าทั้งการผลิตผลงาน การขายโชว์ การเพอร์ฟอร์ม เบื้องหลังการขาย ทุกๆ อย่างมันผิดเพี้ยนไปหมดจากที่เคยเป็นมา ตอนนั้นผมก็ถอดใจละ แค่บังเอิญว่า “กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม” ซึ่งเป็นเพลงประกอบละคร “เกมร้ายเกมรัก” และไม่ได้อยู่ในอัลบั้มดันดังขึ้นมา ตัวผมเองก็ไม่ได้เชื่อในเพลงนี้ด้วยซ้ำในตอนแรก เพลงนี้ดังมาก จนทุกวันนี้ผมยังต้องร้องเพลงนี้อยู่ ก็ต้องยอมรับวิธีการของค่ายในการทำงานเพื่อให้เกิดเพลงดังขึ้นมา เพราะเขามีร่อง มีวัฒนธรรม มีแนวทางและการตลาดแบบนี้ ซึ่งกลุ่มแฟนเพลงและการตลาดของแกรมมี่นั้นคนละกลุ่มกับที่เราเคยทำวงมาก่อนหน้าทั้งหมด ที่สำคัญคือมันเชื่อมกันไม่ได้เลย
กลุ่มการตลาดเก่าของผมเดิมคือ Scrubb, Slot Machine และ Crescendo ซึ่งพอย้ายมาอยู่ค่ายอโศก กลุ่มผมเปลี่ยนเป็น I-ZAX และ Zeal อะไรแบบนี้ ซึ่งมันคนละกลุ่มกัน ส่วน Outlet ที่เขาเอาเราไปแสดงก็คนละกลุ่มกัน ซึ่งเขาไม่รู้จักเพลงเดิมของเรา ปัญหาที่ตามมาก็คือพออยู่ที่นี่ เราเล่นเพลงที่เป็นลิขสิทธิ์ของโซนี่ไม่ได้ เล่นได้ก็คิดแพงมาก ทำให้เล่น “ใจกลางความเจ็บปวดไม่ได้” เพลงเดิมๆ เล่นไม่ได้เลย นี่คือข้อเสียของการย้ายค่ายบ่อยๆ ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเอาเพลงในตึกมาเรียบเรียงใหม่แล้วก็เล่นกัน ทีนี้เวลาไปโชว์เราก็กลายเป็นวงอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่มีเพลงของตัวเองเลย นี่คือจุดที่ทำให้เครสเซนโด้เสื่อมถอย ซึ่งผมได้ลาออกจากวง ก่อนที่วงจะออกจากแกรมมี่ซะอีก
พอออกจากแกรมมี่คุณก็หายไปเลย เรียกได้ว่าเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ
ผมกลายเป็นคนซูเปอร์อินโทรเวิร์ดไปเลย โซเชียลมีเดียไม่เล่นเลย หายไปเลยจากหน้าสื่อแบบจริงๆ จังๆ 7-8 ปีเลย ตอนแรกคิดว่าจะไม่โผล่กลับมาอีกแล้ว แต่ที่กลับมาก็เพราะเหตุผลที่พูดไว้ตอนต้นสัมภาษณ์นั่นแหละครับ
ตอนที่อยู่กับตัวเองมากๆ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
คุณเคยไปวัดปฏิบัติธรรม 7-8 วันไหม คือ 3 วันแรกจะทรมานมาก แต่วันที่ 4-5 คุณจะเริ่มดีขึ้น แล้ววันที่ 6-8 ก็จะรู้สึกว่ามันดีแล้ว และอยู่ได้ ผมเป็นแบบนี้เลย ภาษาธรรมเขาเรียกว่า “สังโยชน์” 3 ปีแรกผมยังตัดไม่ขาด ไปเดินที่ไหนก็คอยหลบคน กลัวว่าจะมีคนจำได้ เหมือนคุณเลิกกับแฟนแล้วขี้เกียจตอบคำถามคนรอบข้างสงสัยว่าแฟนคุณหายไปไหนนั่นแหละ พอเข้าปีที่ 4-5 ผมก็เริ่มสบายขึ้น ได้เจอสิ่งที่อยากทำ ก็ไปทางสายธรรม เชื่อไหมผมถือศีล 5 ได้ 5 ปี ไม่ผิดอะไรเลย มีผิดเล็กน้อยฆ่าเห็บฆ่ายุงบ้าง แต่ศีลข้อ 3 นี่ไม่ผิดเลย ศีลข้อ 5 ก็ไม่ผิดเลยเช่นกัน ผมคิดว่านี่คือแลนด์ดิ้งของผม ตอนนั้นไม่คิดว่าจะกลับมาทำเพลงอีกเลย
7-8 ปี นั้นคุณจุนเจือตัวเองอย่างไรบ้าง
ก็หางานประปรายบ้าง พวกงานร้องเพลงเบื้องหลัง งานทำเพลงประกอบละคร งานเพลงโฆษณา ซึ่งก็แปลกมาก เพราะเวลาเงินจะหมด ก็จะมีงานเหล่านี้เข้ามา ซึ่งช่วงแรกๆ สมัยนั้นค่าลิขสิทธิ์ไม่ได้ดีเหมือนปัจจุบัน ซึ่งมีความแข็งแรงขึ้นมาก ระบบแชร์ริ่งจากแพลตฟอร์มต่างๆ ดีขึ้นมาก ทำให้สามารถจุนเจือคนไม่มีครอบครัวแบบผมได้
กอดความเศร้าไว้กับตัวเอง
หมาผมตาย ผมไม่คุยกับใคร 6-7 เดือนเลย ใครก็โทรติดต่อผมไม่ได้ เป็นซูเปอร์อินโทรเวิร์ดขนานแท้ แต่เราก็ไม่ได้ทุกข์นะ แค่ไม่รู้ว่าจะติดต่อใครอะไรทำไม แล้วที่กลับมาคุยกับคุณเนี่ยก็เพราะว่า ผมกลับมาทำงานแล้ว ก่อนที่จะแลนด์ดิ้งอีกครั้ง ก็อยากให้คนได้รู้จักกับเราอีกสักครั้งว่า เราเป็นใครและกำลังจะทำอะไร เพราะว่าจะได้ต่อยอดเรื่องานอย่างมีประสิทธิภาพ
6 ปีที่อยู่กับวง Crescendo กับข้อเสียของตัวเอง
ผมว่าเราเป็นทุกคนนะ การที่เปลี่ยนจาก “โนบอดี้มาเป็นซัมวัน” ขึ้นมา มันจะมีภาวะหนึ่ง ไม่รู้ว่ามากหรือน้อย หรือว่าคุณจะเป็นคนดีหรือคนชั่วมาก่อนก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ว่าทุกคนจะมีความพราวด์ จะรู้สึกว่ามีอีโก้เยอะขึ้นหลังจากเริ่มดัง ผมเองก็เช่นกัน แม้จะมาไม่เยอะ แต่ก็มีเช่นกัน นั่นคือข้อเสีย ซึ่งในวันนี้เราก็รู้แล้วว่าจะมีไปทำไม มันไม่เพียวเลยสักนิด จริงๆ แล้วคือเป็นโนบอดี้นี่แหละดีที่สุดแล้ว
อีกอย่างคือ ผมรู้สึกว่าเราใช้ความสำเร็จนั้นไปอย่างไม่คุ้มค่าเลย ไม่ได้รักษาห่านทองคำของเรา ใช้มันไปตามยถากรรม เหมือนร็อกเกอร์ที่ไม่สนใจอะไร พังช่างมัน ไม่เป็นไร วันนี้ร้องไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องได้อารมณ์ความรู้สึกนี้เท่านั้น ใช้ชีวิตแบบอาร์ติสต์ ต้องการอะไรก็จะเอาอย่างนั้น นั่นคือข้อเสีย ทำให้การพัฒนาและการต่อยอดถูกตัดทิ้งไป มันก็เลยพัง ไม่ยั่งยืน
วันนี้พอมาพินิจพิจารณาดี ก็รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่ทำให้มันพัง คนอื่นๆ ก็ปุถุชน มีรักโลภโกธรหลง ทุกคนมีส่วนไม่มากก็น้อย อีโก้ของทุกคนผสมผสานกันไปในวันที่ทุกคนเป็นซัมบอดี้ ในวันที่เรามีชื่อเสียง เราไม่คิดหรอกว่าเราจะมีวันตกต่ำ ในวันที่มีแรงกำลัง คิดแต่ว่าตัวเองเก่ง ก็เลยคิดว่ายังไงก็ทำได้อีก ไม่ได้สำเหนียกหรอกว่าทุกอย่างต้องมีตั้งอยู่ดับไปเป็นไตรลักษณ์ คิดไม่ได้หรอกว่า “อย่าลำพองตน”
มีคำถามหนึ่งที่คุณยังไม่ได้ตอบก็คือ การกระเสือกกระสนเพื่อให้ตัวเองได้เป็นนักร้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการมาโดยตลอด ที่เล่าผ่านๆ มาก็แค่เหตุการณ์แวดล้อมเท่านั้น
ผมรู้สึกว่าการได้ร้องเพลงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด มากกว่าการเรียนหนังสือ มากกว่าการจีบหญิง มากกว่าการอกหัก ที่ผมเคยคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุด (หัวเราะเสียงดัง) ผมรู้สึกว่าการได้จับกีต้าร์ร้องเพลงทำให้ผมไม่แคร์อะไรอีกต่อไป มันคือโมเมนต์นั้นเลย มันจึงนำพาเราไปสู่ที่ต่างๆ สำหรับผมการร้องเพลงคือการเชื่อมโยงตัวตนเข้ากับโลกใบนี้ ในเชิงศิลปะ ผมรู้สึกว่าตัวเองคือโลก เวลาได้ร้องเพลง ผมรู้สึกว่าไม่ประดักประเดิด รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติ นี่คือความสุขของผม ใครจะมองอะไรอย่างไรไม่เคยรู้ แล้วผมก็ไม่เคยคิดจะเอาสิ่งนี้ไปแข่งกับใคร ผมแค่มีความสุขที่ได้ทำ และไม่เคยคิดว่าความสุขในการร้องเพลงจะพาตัวผมไปถึงไหนด้วย
มันคือความรู้สึกว่าเรามีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งสำหรับผมคือการร้องเพลง
เวลาผมขึ้นเวทีคอนเสิร์ต พอจับไมค์ร้องเพลง ผมจะรู้สึกว่านี่คือโลกของผม และจะร้องแบบไม่สนใจอะไร แต่พอลงมาจากเวที ผมก็จะหลบมุมเหมือนเดิม เวลาทำการแสดง ในมุมหนึ่งมันคือโลกของเรา ในขณะเดียวกันเราก็ยินดีที่จะมอบให้คนอื่นด้วย
อีกไม่นานเกินรอ ถึงรอก็คงไม่นาน...ถ้าว่ากันแบบสำนวนเพรียวนมของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ก็จะประมาณนี้
แค่ชิมลางฟัง “ช่วงหนึ่งแห่งทรมาน” ที่ปล่อยมาทดลองระบบการทำงานร่วมกันก็การันตีคุณภาพในแบบฉบับเครสเซนโด้ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เอาเป็นว่า รอกันอีกหน่อยก็แล้วกัน
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต