
เปิดหัวใจแดรี่โฮม ฝ่าวิกฤต FTA
ด้วย 'สัญญาใจ' ที่ส่งต่อถึงเกษตรกรโคนมไทย
ข่าวเกษตรกรเทน้ำนมดิบทิ้งช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สร้างความหดหู่ใจให้ผู้พบเห็นไม่น้อย หลายคนคงจะเกิดคำถามดังขึ้นในหัวว่าแล้วทำไมประเทศเราถึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?!
ย้อนไปช่วงปี 2535 ประเทศไทยเริ่มการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ FTA (Free Trade Area) ต่อมาปี 2538 มีการทำ FTA ในระดับทวิภาคีระหว่างไทยกับออสเตรเลีย และไทยกับนิวซีแลนด์ เพื่อมุ่งเน้นการขยายการส่งออกสินค้าไทย และภายใต้ข้อตกลงไทยได้ทยอยลดอัตราอากรให้กับออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์มาตลอด เหลือเพียงสินค้าประเภทนม
จนกระทั่งปี 2568 เป็นปีสุดท้ายที่ไทยต้องเปิดตลาดยกเว้นอากรศุลกากร ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นมา ไทยจึงลดภาษีนำเข้าสินค้านมเหลือร้อยละ 0 สำหรับประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ตามพันธกรณีที่ไทยผูกพันไว้ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ คือ บริษัทเอกชนหลายแห่งเลือกที่จะใช้นมทดแทนที่สามารถนำไปทำสินค้าได้หลายประเภทจากการนำเข้าแทนการใช้น้ำนมดิบในประเทศ ทำให้เกิดภาวะนมล้นตลาด บางแห่งหยุดการรับซื้อน้ำนมดิบจากสหกรณ์ ทำให้เกษตรกรไม่มีที่ขายน้ำนมดิบจนต้องเทนมทิ้งเป็นการประท้วง
ทีม Khaoyai Connect ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณพฤฒิ เกิดชูชื่น แห่งแดรี่โฮม ถึงสถานการณ์นมล้นตลาดในขณะนี้ว่าเกษตรกรเลี้ยงโคนมจะมีแนวทางรับมือได้อย่างไร
คุณพฤฒิอธิบายว่า สถานการณ์น้ำนมดิบในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นออร์แกนิกอย่างที่เครือข่ายแดรี่โฮมทำได้ หรือเป็นน้ำนมดิบปกติ ต่างพบเจอสถานการณ์เดียวกัน คือ ตลาดนมหดตัวหรืออาจจะคงที่ เพราะมีนมทดแทนจากต่างประเทศเข้ามาจากข้อตกลงทางการค้าเสรีที่เราทำไว้นานแล้วกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเพิ่งได้รับผลกระทบเมื่อต้นปี เมื่อผลิตภัณฑ์นมเข้ามา ตลาดนมของเราจึงลดการพึ่งพานมในประเทศลง ทำให้นมของเกษตรกรหาที่ขายได้ยากขึ้นหรือขยายตัวไม่ได้ และถ้าใครมีนมมากขึ้นก็จะล้นตลาดทันที
แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ เราจะอยู่รอดกันอย่างไร?
“เป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะอันดับแรก นมเป็นของที่เก็บได้ยาก ถ้าไม่แปรรูปก็จะบูดโดยเร็ว หรือต่อให้เราทำนมยูเอชทีเก็บไว้ ก็ยังมีอายุแค่ 6 เดือน ทำเป็นนมผงก็ไม่ไหว เพราะต้นทุนในการผลิตแพงมาก จนกระทั่งไม่สามารถแข่งขันกับนมผงที่มาจากต่างประเทศได้ แนวทางที่เกษตรกรดิ้นรนอยู่ในตอนนี้ คือ อย่างน้อยที่สุดหาทางขาย แต่จะระบายไปไหนในเมื่อตลาดหดตัว อาจจะต้องนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น เอาไปทำอาหารอื่นให้มากขึ้น” น้ำเสียงแสดงความหนักใจจากยักษ์เล็กแห่งผู้ผลิตนมออร์แกนิกซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเผชิญวิกฤตครั้งนี้
พึ่งพาตัวเอง ผลิตอาหารวัวในฟาร์ม คือ ทางรอด
แต่ก็ไม่ถึงกับอับจนหนทางเสียทีเดียว คุณพฤฒิบอกอีกแนวทางหนึ่งที่แดรี่โฮมได้ทดลองทำไว้เป็นโมเดลทางรอดของเกษตรกรโคนม นั่นคือการพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด
คุณพฤฒิบอกว่า อีกทางเลือกคือ ต้องลดปริมาณน้ำนมของตัวเองลง ด้วยกระบวนการผลิตที่พึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น นั่นคือการลดต้นทุนลงให้มากด้วยการผลิตอาหารให้วัวได้เองในฟาร์ม เลิกพึ่งพาอาหารจากนอกฟาร์มที่ต้นทุนสูง นี่คือแนวทางที่เราพยายามส่งเสริมเกษตรกรอยู่
“เราต้องปลูกหญ้าให้เยอะ ปลูกข้าวโพดหรือมันให้เยอะ แล้วเอามาเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ในฟาร์มตัวเอง นมจะได้น้อยลงหน่อยไม่เป็นไร เมื่อต้นทุนลดลงเราอาจจะอยู่ได้ คือ ขายนมให้น้อยลง แต่กำไรให้มากขึ้น หลายคนก็ทำได้ แต่สำหรับคนที่ไม่มีพื้นที่ก็จะลำบากหน่อย กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่อยู่ยากมากที่สุด ก็ต้องมองทางเลือกใหม่ เพราะมันไม่มีทางสู้”
ความจริงที่แสนเจ็บปวด เกษตรกรจำนวนหนึ่งต้องรับสภาพและปรับตัว
คุณพฤฒิกล่าวว่า ในปีนี้เรามีนมจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เข้ามาในอัตราภาษี 0% และปลายปีนี้เราอาจจะเจอนมจากสหรัฐอเมริกาในอัตราภาษี 0% เช่นกัน เพราะเรื่องนี้ทรัมป์ก็กำลังกดดันอยู่ และยิ่งกว่านั้นในปีหน้า ถ้าข้อตกลงกับอียูสำเร็จ เราก็จะมีนมจากอียูเข้ามาในอัตราภาษี 0% อีกเช่นกัน
“เรื่องนี้เคยมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ มันก็แค่เยียวยา แต่บาดแผลมันเกิดขึ้นแล้ว บางคนทนพิษบาดแผลไม่ไหว ตายไปแล้วก็มี แล้วระหว่างนี้ก็จะมีคนพิษบาดแผลไม่ไหวตายเพิ่มอีก”
เมื่อคิดตามหัวขบวนผู้ผลิตนมออร์แกนิกพูดมาแล้ว นั่นแปลว่าผู้ที่เหลือรอดก็จะมีเป็นเพียงคนที่มีฟาร์มที่มีความพร้อมในการผลิตอาหารเท่านั้น?!
คุณพฤฒิพยักหน้ารับแล้วอธิบายถึงโมเดลที่แดรี่โฮมทำได้ว่า ถ้ามี 5 ไร่ ก็ต้องลดวัวให้มีสัดส่วนเท่ากับอาหาร จึงจะอยู่ได้ เช่น พื้นที่ 5 ไร่ จะต้องเลี้ยงวัวประมาณ 15 ตัว สามารถรีดนมได้ 10 ตัว โดยมีเงื่อนไขต้องมีหญ้าให้วัวกินทั้งปี ที่สำคัญต้องมีแหล่งน้ำเพื่อปลูกหญ้าให้ได้ทั้งปี
“วิธีนี้รายได้อาจจะลดลง แต่กำไรเพิ่มขึ้นนะ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ซื้ออาหารมาเยอะแล้วผลิตเยอะๆ กำไรต่อลิตรไม่ต้องเยอะ แต่ได้ปริมาณมาก อันนั้นใช้ได้กับอุตสาหกรรม แต่ตอนนี้เราไม่สามารถผลิตเยอะๆ เหมือนเดิมแล้ว เราเผชิญสถานการณ์เดียวกันทั้งประเทศ ดังนั้นทางรอดเดียวตอนนี้คือลดต้นทุนการผลิตให้ติดดินไปเลย ได้นมน้อยไม่เป็นไร แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงจะทำให้เราได้กำไรมากขึ้น”
อยากให้ช่วยประเมินว่าโอกาสที่เกษตรกรโคนมจะไปต่อมีมากน้อยแค่ไหน
“ตอนที่เราทำการค้าเสรี ปีที่เราเซ็นสัญญาเรามีเกษตรกรโคนม 30,000 ราย ผ่านไป 10 ปี เกษตรกรเราเหลือ 18,000 ราย พอช่วงสงครามยูเครน ราคาอาหารสัตว์ขึ้นทุกชนิด หลายคนก็อยู่ไม่ได้ เหลือ 15,000 ราย ผมว่าปี 2569 ที่จะถึงนี้เกษตรกรโคนมน่าจะเหลือไม่ถึงหมื่นแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังว่าเกษตรกรไทยจะใจสู้ อย่างน้อยลองใช้วิธีลดต้นทุนให้ต่ำติดดินดู ทุกคนมาดูงานที่แดรี่โฮมได้”
คุณพฤฒิอธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรมถึงโมเดลทางรอดว่า วัวกินหญ้า 30 กก./ตัว/วัน ถ้ามี 10 ตัว ต้องมีหญ้าวันละ 300 กิโลกรัม หากไปซื้อราคาขายจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 2 บาท ถ้าปลูกเอง กิโลกรัมละสลึง ดังนั้นถ้าต้นทุนวัตถุดิบถูก นมเราก็ต้นทุนถูก เมื่อนำไปขายในราคาปัจจุบันก็จะทำให้อยู่รอดได้
“ถือว่าเป็นคำแนะนำจากผู้ที่อยู่กับวัวมาหลายสิบปีครับ เรามีโมเดล ทำให้เห็นว่าเกษตรกรในเครือข่ายเราอยู่ได้ เพราะว่าเขาต้นทุนไม่สูง อีกอย่างนะ ถ้าวัวกินหญ้าเยอะ คุณภาพน้ำนมเพิ่ม ต้นทุนลด ดังนั้นแม้จะได้ปริมาณน้ำนมลดลง แต่คุณภาพเพิ่ม ฉะนั้นเวลาคุณเอานมไปขายคุณก็ได้ราคาเพิ่มอีกด้วย”
แดรี่โฮม ยืนหยัดตลาดออร์แกนิกอย่างต่อเนื่อง
คุณพฤฒิบอกว่า สำหรับแดรี่โฮม เราถือเป็นผู้ผลิตรายเล็กที่สุดในประเทศไทย แต่ว่าเราทำน้ำนมดิบคุณภาพสูงที่เป็นนมออร์แกนิก และเนื่องจากว่าเราทำงานกับเกษตรกรในรูปแบบของเกษตรสัญญาใจ ไม่ใช่พันธะสัญญานะ เราตกลงกันว่าเมื่อเราพาเขามาทิศทางนี้แล้ว เขาเปลี่ยนเป็นออร์แกนิกแล้ว เราจะรับซื้อทั้งหมด ตอนนี้เรามีสมาชิกประมาณ 30 ราย รับวันละ 8 ตัน เราคิดเรื่องการขยายตลาด เรื่องว่าผู้บริโภคเข้าใจออร์แกนิกว่าดีอย่างไร เราก็ยินดีจะรับนมเข้าเพิ่ม จริงๆ ตอนนี้มีเกษตรกรที่เปลี่ยนตัวเองเป็นออร์แกนิกแล้ว พร้อมเข้ามาในระบบเราแล้ว แต่เรายังไม่พร้อม เพราะว่าตลาดมันหดตัว ตอนนี้ก็เลยพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อขยายตลาดให้มากขึ้นให้คนในเมืองไทย และต่างประเทศเห็นว่านมแบบนี้ดีต่อสุขภาพ
“สถานการณ์ตอนนี้เราก็แบกรับอยู่ เราเร่งการขายอยู่เหมือนกัน เราเองก็ไม่ได้ดีกว่าคนอื่น เผชิญปัญหาตลาดหดตัวเหมือนกัน แต่เรามีตลาดเฉพาะอยู่ปริมาณหนึ่ง และยังมีนมที่เหลืออีกปริมาณหนึ่ง เราก็พยายามหาทางแปรรูป หาทางขยายตลาด ก็ต้องเชิญชวนผู้บริโภค ถ้าอยากกินนมคุณภาพดี ลองมาเลือกนมแดรี่โฮม เพราะท่านกินนมแดรี่โฮมแล้วมันไม่ได้ทำให้ผมรวยขึ้นนะ เนื่องจากบริษัทแดรี่โฮมทำงานในรูปแบบของโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ แบบไม่ปันผล แปลว่าผลกำไรทั้งหมดรีอินเวสท์กลับไปเพื่อการทำงานกับเกษตรกร ซื้อน้ำนมดิบ เอาไปงานพัฒนางานวิจัยให้นมมีคุณภาพให้มีนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค”
ปัจจุบันนมแดรี่โฮมแตกไลน์หลายชนิด และโยเกิร์ตอีกกว่า 10 ชนิด มีทั้งนมก่อนนอน มีนมโคจากสายพันธุ์เจอร์ซี่ มีนมกราสเฟดที่เลี้ยงด้วยหญ้าธรรมชาติ นมช็อคโกแลต นมสตรอเบอร์รี่ ที่ใช้สตรอเบอร์รี่แท้ กลิ่นแท้ สีธรรมชาติ รวมถึงนมสำหรับบาริสต้าก็มี และล่าสุดนมไฮโปรตีน 30 กรัมที่ตอนนี้วางจำหน่ายแล้วในท็อปส์ทุกสาขา และจะวางจำหน่ายพร้อมกันในทุกห้างสรรพสินค้าชั้นนำวันที่ 1 สิงหาคมนี้
“ตอนนี้เรามีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ เป็นนมไฮโปรตีน 30 กรัม ในราคาขวดละ 65 บาท เป็นนมคุณภาพสูง โปรตีนสูง คุณจะได้สารอาหารเต็มเหนี่ยว มื้อเย็นได้นมขวดเดียวก็นอนได้เลย แล้วโปรตีนที่เราใช้ คือ BCAA จะเป็นตัวที่ช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างกล้ามเนื้อโดยเฉพาะคนกับผู้สูงอายุ และคนที่ยกน้ำหนักเพาะกาย ตัวนี้ดีมาก ตอบโจทย์ นี่คือสินค้าใหม่ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม”
ในห้วงเวลาที่ท้าทายของเกษตรกร ยังมีโมเดลจากเพื่อนร่วมอาชีพ ที่จุดประกายความหวังให้เกษตรกรลุกขึ้นสู้อีกครั้ง แต่ก็ยังหวังว่ารัฐบาลเองจะมีหนทางช่วยเหลือร่วมแก้ปัญหากับเกษตรกรโคนมไทยด้วย เพราะลำพังใจที่สู้ของเกษตรกรเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต