
“สวนผักลุงฤทธิ์”
ก้าวใหม่กับฝันที่ไกลกว่าเดิม
1.
สวนผักลุงฤทธิ์ ร้านลับแห่งเขาใหญ่
ไม่เป็นร้านลับอีกต่อไป เมื่อ “สวนผักลุงฤทธิ์” แห่งเขาใหญ่ได้เปลี่ยนไปเป็นร้านเลิฟในใจของใครต่อใครที่ได้แวะมาลิ้มลอง ทั้งผักสดหวานกรอบสะอาดปลอดภัย เมนูที่หลากหลายได้คุณภาพ และรสชาติความอร่อยในราคาที่เกินคุ้ม จนได้รับการพูดถึงแบบปากต่อปาก เกิดเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “Organic Marketing” โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เมื่อลูกค้ามากขึ้น สวนผักลุงฤทธิ์ได้ตัดสินใจขยับขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ร้านใหม่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านเดิมมากนัก ปักหมุดอยู่ที่ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลมากันมาไม่ขาดสายในช่วงไฮซีซั่น โดยร้านใหม่แห่งนี้จะมีอายุครบรอบ 1 ปีเต็ม ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นี้
ก่อนจะมาเป็น “สวนผักลุงฤทธิ์” อย่างทุกวันนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายบนถนนสายธุรกิจอันเต็มไปด้วยขวากหนาม ที่เมื่อมองย้อนกลับไปยังเส้นทางแล้ว มีแต่ต้องลุกขึ้นปรบมือชื่นชมในความอุตสาหะพากเพียรของผู้ก่อตั้งทั้ง “ลุงฤทธิ์-ฤทธิ์ไกร สละ และพี่รุ่ง-รุ่งระวี สละ” สองสามีภรรยาที่ค่อยๆ ช่วยกันสร้างตัวจากศูนย์ จนถึงวันที่ประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากลูกค้าจำนวนมาก สิ่งนี้เองเป็นทั้งกำลังใจ และเตือนใจให้ทั้งคู่ต้องยิ่งเข้มงวดกับการรักษามาตรฐานอาหาร ซึ่งเป็นหัวใจหลักตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจ
2.
ชีวิตที่เริ่มต้นจากศูนย์
พี่รุ่งเล่าว่า ตนเองเป็นคนสุรินทร์ อำเภอชุมพลบุรี โตมากับยาย เพราะพ่อแม่ไปทำงานบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ต่างจังหวัด ชีวิตไม่ถึงกับลำบาก แต่ก็ไม่ได้สบาย ตั้งแต่เด็กต้องทำงานช่วยยายตลอด ไม่มีโอกาสได้วิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่น ถึงอย่างนั้นระหว่างเรียนก็ถือเป็นเด็กกิจกรรมตัวยง เคยเป็นตัวแทนไปประกวดงานหัตถกรรมของโรงเรียน และเข้าชุมนุมเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย (ช.ก.ท.) ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีส่วนบ่มเพาะความเป็นผู้นำให้ด้วย
“พี่อยู่กับยายตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่ไปทำงานรับจ้างที่ต่างจังหวัดกับบริษัทรับเหมาทำถนน ก็เลยดูเหมือนขาดความอบอุ่นเล็กน้อย พี่มีพี่สาวคนหนึ่ง น้องชายคนหนึ่ง สมัยเด็กๆ ยายสอนให้ขายของ ก็ไม่รู้หรอกว่าชอบหรือไม่ชอบ ยายชอบปลูกผัก มะเขือพวง มะรุม น้อยหน่า แล้วตอนเย็นเลิกเรียนบ่ายสาม ยายก็จะเก็บผักให้เราเอาไปส่งตลาด พอเลิกเรียนมาปุ๊บก็ไม่เคยได้ไปเล่นกับใครเขา เพราะมีหน้าที่เอาผักไปส่งให้แม่ค้าในตลาด พอเสาร์อาทิตย์ปุ๊บ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 1 ตี 2 ไปเก็บผักบุ้งตามแม่น้ำมูล แล้วหาบไปขายที่ตลาด เดินจากหมู่บ้านลัดไปตามคลองชลประทาน กว่าจะไปถึงตลาดก็เกือบกิโล เอาไปให้แม่ค้าที่ขายตอนเช้า ผักขายได้กำละบาทสองบาทก็ดีใจแล้ว เพราะเป็นผักที่ไม่ต้องลงทุน เก็บตามลำมูลตามธรรมชาติ บางทีเขาซื้อก็เพราะสงสาร” พี่รุ่งเล่าบางช่วงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อต้องย้อนอดีตในวัยเด็ก
ชีวิตสาวสุรินทร์ดำเนินไปเช่นนี้ จนกระทั่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เลือกเรียนต่อ ปวส. สายพาณิชย์ ด้านบริหารธุรกิจ เอกคอมพิวเตอร์ ที่วิทยาลัยอี.เทค จ.ชลบุรี เป็นช่วงชีวิตที่มุ่งแต่เรียน งดกิจกรรมทั้งหมด เพราะไม่อยากให้พ่อแม่เสียเงินแพง จนจบด้วยเกียรตินิยม เกรดเฉลี่ย 3.9
พอเรียนจบพ่อก็เสียชีวิต ตอนนั้นได้รับโอกาสเข้าทำงานกับบริษัท BR เอ็นจิเนียริ่งที่พ่อทำอยู่ และได้รับทุนให้เรียนต่อปริญญา จึงใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ในการเรียนต่อที่วิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา เลือกเรียนบริหาร เอกบัญชี พอจบแล้วก็กลับเข้าทำงานที่บริษัทเดิม ทำแผนกบัญชีและช่วยงานฝ่ายบุคคล เงินเดือนตอนนั้นสตาร์ทที่ 8,000 บาท
ขณะที่ลุงฤทธิ์ ตั้งแต่เล็กจนโตก็ช่วยพ่อแม่ทำงานมาตลอดเช่นกัน ช่วยแม่ที่เป็นแม่ค้าขนมจีนตำพริกแกง ล้างถ้วยล้างจานเมื่อแม่กลับจากขายของ จบ ม.6 เลือกสอบเข้าจ่าทหารเรือ เหล่านาวิกโยธิน เพราะไม่อยากเป็นภาระให้พ่อกับแม่ หลักสูตรเรียนเพียง 1 ปีเท่านั้น เป็นการเข้าเรียนโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ เพราะในใจไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่เจาะจง มีแค่อยากแบ่งเบาภาระพ่อแม่เท่านั้น พอเรียนจบก็ได้ติดยศจ่าตรี ทำงานเดือนแรก รับเงินเดือน 3,700 บาท ตำแหน่งแรกของจ่าตรี เป็นผู้บังคับหมู่ทหารราบของเหล่านาวิกโยธิน ประจำการที่ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
3.
ชีวิตคู่ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิต
การพบกันของพี่รุ่งและลุงฤทธิ์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตไปตลอดกาล ทั้งคู่รู้จักกันที่จังหวัดชลบุรีตอน พ.ศ.2538 โดยลุงฤทธิ์ได้มาเยี่ยมญาติที่บ้านอยู่ใกล้กับบ้านพี่รุ่ง ทั้งสองเกิดความประทับใจต่อกันทันที ฝ่ายลุงฤทธิ์จึงเทียวไปรับไปส่งพี่รุ่งตั้งแต่นั้นเรื่อยมา ดูกันจนมั่นใจจึงตกลงใช้ชีวิตคู่
งานแต่งงานถูกจัดขึ้นในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2544 ที่จังหวัดสุรินทร์บ้านเกิดฝ่ายหญิง แล้วกลับมาเลี้ยงฉลองที่จังหวัดชลบุรีที่ทั้งคู่ทำงานอยู่ แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไฟไหม้บริษัทแล้วลามมาที่บ้านของพนักงานที่อยู่ใกล้ๆ กัน แม้บ้านของทั้งคู่ที่อยู่หลังสุดท้ายก็ไม่รอด ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงกระเป๋าใส่ซองงานแต่งใบเดียว นอกนั้นวายวอดไปกับกองเพลิง
ชะตากรรมเช่นนี้ไม่เกิดกับใครก็คงไม่รู้สึก สำหรับคู่หนุ่มสาวแต่งงานใหม่แม้จะใจเสีย แต่ก็ไม่ยอมจมดิ่งนานเกินไป กลับฮึดตั้งสติเริ่มต้นใหม่ โดยนอกจากลุงฤทธิ์จะยังรับราชการทหารเรือ และพี่รุ่งยังทำงานบริษัทแล้ว ทั้งคู่ได้ออกรถมาคันหนึ่งเพื่อเอาไว้ใช้ขายของในวันหยุด
จนเข้าปีที่ 3 ของการแต่งงาน ทั้งคู่ได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรก ค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงเริ่มมากขึ้น ทำให้คุณรุ่งตัดสินใจแน่วแน่ไปสมัครงานใหม่ เป็นโครงการบ้านจัดสรรที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้ลงทุนเป็นชาวฮอลแลนด์ สามีของญาติตัวเอง ได้รับเงินเดือน 30,000 บาท สูงกว่าที่เดิมเท่าตัว
ด้วยความห่างไกลกัน บวกกับเห็นรายได้ที่เกาะสมุยดีกว่ารับราชการมาก พี่รุ่งจึงปรึกษาลุงฤทธิ์เรื่องลาออกจากราชการเพื่อมาทำงานอยู่ด้วยกัน ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากครอบครัว แต่เมื่อคิดทบทวนดีแล้ว เพราะตอนนั้นอายุราชการของลุงฤทธิ์มีสิทธิ์เข้าโครงการเออรี่ รีไทร์ของกองทัพเรือได้พอดี ในที่สุด พ.ศ.2547 ลุงฤทธิ์จึงตัดสินใจออกจากราชการ เดินทางมาเกาะสมุย สมัครงานตำแหน่งโฟร์แมน เป็นช่างซ่อมบำรุงในโครงการเดียวกันกับพี่รุ่ง อดทนเรียนรู้ใหม่ทั้งหมดจากหน้างาน โดยไม่ท้อแท้แม้ต้องโดนลองของจากพนักงานคนอื่นๆ ที่ทำงานมาก่อน
4.
สมุย จุดกำเนินเมนูซี่โครง ซิกเนเจอร์ยอดฮิตร้านสวนผักลุงฤทธิ์
ระหว่างที่อยู่สมุยนี่เอง พี่รุ่งและลุงฤทธิ์ ได้มีโอกาสตระเวนกินอาหารฝรั่งกับเจ้านายชาวฮอลแลนด์ และมีเมนูหนึ่งที่อร่อยติดใจ คือ เมนูซี่โครง แต่กินมากไปก็เลี่ยน เพราะรสชาติเป็นสไตล์ฝรั่ง ประกอบกับที่ทั้งคู่เป็นคนชอบทำอาหาร ชอบสังสรรค์ในวันหยุด เลยมาลองคิดสูตรทำกินกันเองในหมู่พี่น้องเพื่อนฝูง จนวันหนึ่งเจ้านายมีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติ ก็ถึงกับยกนิ้วให้ตั้งแต่ชิมครั้งแรก ทำให้ซี่โครงย่างสูตรพี่รุ่งลุงฤทธิ์ได้รับเลือกให้เป็นเมนูจัดเลี้ยงวันคริสต์มาสของบริษัท ถือเป็นการโชว์ฝีมือให้แขกเหรื่อชิมเป็นครั้งแรก
จากนั้นเมนูซี่โครงก็กลายเป็นอาหารจานหลักสำหรับรับรองแขกทุกกลุ่ม วันไหนมีเพื่อนฝูงมาหา วันนั้นพลาดไม่ได้ที่พี่รุ่งและลุงฤทธิ์ต้องลงมือปรุงเมนูสุดพิเศษ
และกว่าจะมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์ประจำร้านสวนผักลุงฤทธิ์ พี่รุ่งได้เก็บคำติตั้งแต่ทำเมนูนี้ครั้งแรกใน พ.ศ.2546 จนถึงปัจจุบัน รวบรวมได้ประมาณ 1,000 ครั้ง คัดจำเฉพาะที่ให้ติอย่างเดียว เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น จนกระทั่งได้สูตรที่ลงตัวในส่วนผสมของซอสมีเครื่องเทศถึง 12 ชนิด
“ฉะนั้นใครจะแกะสูตรอาจจะลำบากซักหน่อย” พี่รุ่งกระเซ้า เมื่อถามว่าเครื่องเทศว่ามีอะไรบ้าง
5.
ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง คว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาเสมอ
พี่รุ่งเล่าว่า ทำงานที่เกาะสมุยครบ 5 ปี หลังจากโครงการขายจนหมดเกลี้ยง ก็ได้รับทาบทามจากที่ปรึกษาทางการเงินของเจ้านายเก่า ให้ไปทำงานด้วยที่เชียงใหม่ สองสามีจึงตัดสินใจไปพร้อมกัน พี่รุ่งไปเป็นเลขานุการ อยู่ฝ่ายบริหาร ส่วนลุงฤทธิ์ทำหน้าที่หาที่ดินเพื่อนำไปจัดสรร ที่บริษัทนี้ได้เรียนรู้งานหลายอย่างเกี่ยวกับการบริหารและวางระบบ ได้เข้าไปฝังตัวในบริษัทที่มาเป็นลูกค้า ทำหน้าที่เก็บข้อมูล เอามาทำแคชโฟลว์ และทำแอคชั่นแพลน ซึ่งเป็นที่มาถึงความถนัดในการวางแผนวางระบบภายในองค์กร แต่ทำงานที่นี่ได้เพียง 2 ปี บริษัทก็ประสบปัญหาการเงิน จึงตัดสินใจไปสมัครงานใหม่
“พอ พ.ศ.2552 ก็ย้ายไปทำงานกับอีกบริษัทหนึ่ง ชื่อบริษัทสตาร์อเวนิว ทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเชียงใหม่ ทำในตำแหน่งเลขาฯ เหมือนเดิม ส่วนลุงฤทธิ์เปิดร้านอาหารอีสานแถวเวียงกุมกาม เพราะว่าไม่มีอะไรทำ เลยไปเช่าที่ให้ลุงฤทธิ์เปิดร้านอาหารอีสาน ถามว่าขายดีไหม ก็ไม่เชิง เพราะลุงฤทธิ์อยู่คนเดียว ทีนี้เราก็เอาลูกน้องที่ตกงานจากบริษัทเดิมทั้งหมดมาช่วย ใครยังไม่ได้งานก็มาอยู่ตรงนี้ก่อน มาล้างถ้วยล้างจาน ได้มาเท่าไรก็จ่ายกันไป พอลูกน้องสมัครงานได้ก็แยกๆ กันไป แล้วเชื่อไหม พี่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 2 มาช่วยลุงฤทธิ์ทำไก่ทำอะไร แล้วก็ไปจัดร้าน ยอมรับว่าสู้มาก แล้วเราก็ไปทำงานนะ เที่ยงก็ต้องออกมาช่วยแกขายของอีก เพราะลุงฤทธิ์อยู่คนเดียว มาเสิร์ฟมาทำกับข้าว พอบ่ายโมงก็ไปทำงาน หลังเลิกงาน 5 โมง ก็ต้องพากันไปซื้อของแมคโคร ช่วงนั้นเหนื่อยแบบว่าสุดๆ ไปเลย” พี่รุ่งเล่าเส้นทางชีวิตที่ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ
พี่รุ่งช่วยลุงฤทธิ์ทำร้านอาหารอีสานอยู่เกือบครึ่งปีก็ได้เจอเจ้านายคนใหม่ เป็นคนที่นำพาชะตาชีวิตให้มาอยู่ที่เขาใหญ่จนทุกวันนี้
“ตอนนั้นมีคนแนะนำให้รู้จักกับคุณเปิ้ล จากโครงการกรีนวัลเลย์ที่แม่ริม เขาต้องการคนวางระบบบัญชี ร้านอาหาร Bamboo Glove เราเลยตกลงรับทำพาร์ทไทม์หลังเลิกงาน แต่บังเอิญแม่เกิดไม่สบาย จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อกลับไปสุรินทร์ แต่คุณเปิ้ลกลับดึงตัวไปวางระบบร้านเบเกอรี่ที่กรุงเทพฯ เลยไม่ได้กลับสุรินทร์ แต่ทำไปทำมาเกิดปัญหาบางประการทำให้งานนั้นล้มเลิกไป สุดท้ายคุณเปิ้ลก็ชวนมาทำโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการหนึ่งที่เขาใหญ่ ตอน พ.ศ.2553 เลยย้ายมาที่เขาใหญ่ พี่ทำงานบริการหลังการขาย ส่วนลุงฤทธิ์มาเป็นหัวหน้าช่างประปา ดูแลสระว่ายน้ำ”
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พี่รุ่งและลุงฤทธิ์ก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะได้งานประจำที่เขาใหญ่ ทั้งคู่ก็ยังทำงานเสริมเช่นเดิม โดยในครั้งนี้ทั้งคู่เพาะเห็ดขายไปด้วย แต่เนื่องจากเวลาการทำเห็ดไม่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันที่ต้องตื่นทำงานตอนเช้า เลิกงานตอนเย็น แล้วต้องเก็บเห็ดตอนตี 2 ตี 3 จึงล้มเลิกไป แต่ถึงอย่างนั้น ขณะที่ยังเพาะเห็ดขายอยู่นั้น ทั้งคู่เก็บขายได้ถึงวันละ 30-50 กิโลกรัม
เรื่องงานเสริมเป็นสิ่งที่พี่รุ่งและลุงฤทธิ์ทำตลอดมาทั้งชีวิตการทำงาน เพราะเข้าใจถึงสัจธรรมความไม่แน่นอน ดังนั้นต้องมีงานเสริมเผื่อไว้เสมอ
6.
ก่อนเป็น “สวนผักลุงฤทธิ์”
ช่วงที่เริ่มทำงานที่เขาใหญ่ พี่รุ่งและลุงฤทธิ์เช่าบ้านอยู่ จนวันหนึ่งคุณสุรชัยหรือคุณต๋อยที่มีบ้านอยู่เขาใหญ่ แต่ไม่มีใครอยู่ จึงชวนให้ทั้งคู่ไปอยู่เฝ้าบ้าน เป็นบ้านที่มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ และในบ้านหลังนี้ยังมีโครงโดมปลูกผักเก่าที่เป็นโครงเหล็กอยู่ จึงตัดสินใจย้ายข้าวของมาอยู่ และเริ่มปลูกผักเป็นงานเสริมหลังว่างจากงานประจำ
ระหว่างนั้นก็มีความคิดที่จะกลับไปทำเกษตรที่บ้านเกิดของพี่รุ่งที่สุรินทร์ โดยนำเงินเก็บไปลงทุนทีละน้อย ไปสุรินทร์ทุกเดือน ทยอยปลูกต้นไม้เป็นเกษตรผสมผสาน และขุดเจาะน้ำบาดาล แต่ปรากฏว่าน้ำบาดาลเป็นน้ำเค็ม รดต้นไม้ตายหมด ความตั้งใจกลับสุรินทร์เป็นอันต้องพับไป แล้วกลับมาโฟกัสการปลูกผักที่เขาใหญ่เหมือนเดิม
“เราก็คิดว่าอยู่ตรงนี้จะทำอะไรดี ปลูกข่าดีไหม เพราะมันไม่ต้องทำอะไร ปีหนึ่งเก็บครั้งหนึ่ง คือ เราก็อยากทำเกษตรอยู่นั่นแหละ จนคุณต๋อย เจ้าของบ้านมาเห็นว่าเราชอบทำเกษตร ก็เลยแนะนำให้ปลูกของที่มีมูลค่า แล้วไปสมัครเรียนปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ที่ลาดบัวขาว นครปฐมให้ ช่วงนั้นน่าจะประมาณ พ.ศ.2559 ถามว่าเรียนได้อะไรไหม ไม่รู้เรื่องเลย เพราะเราไม่มีพื้นฐานมาก่อน แต่บังเอิญว่าลุงฤทธิ์เป็นคนมุมานะ และชอบเกษตร กลับมาก็เลยเปิดยูทูบศึกษาเพิ่มเติม แล้วก็มาทำแปลงผักของเรา ขายผักครั้งแรกได้ 4,000 บาท ดีใจเกือบตาย นี่คือจุดเริ่มต้นของการมาปลูกผัก” แววตาพี่รุ่งฉายประกายความสนุก เมื่อย้อนนึกถึงช่วงเวลาของการเริ่มต้น
พี่รุ่งบอกว่า ครั้งแรกที่ปลูกผักยังมีคำถามในใจว่าจะปลูกลงดินหรือปลูกในน้ำ จึงได้ทดลองปลูกในดิน ปรากฏว่าแมลงกินไม่เหลือ จึงกลับมาคิดกันว่า สำหรับคนที่ยังมีงานประจำ การปลูกด้วยดินเป็นเรื่องไม่ง่าย จึงเลือกปลูกผักในน้ำ หรือไฮโดรโปนิกส์ เพราะสะดวกทั้งเวลา และต้นทุนการผลิตต่ำกว่า ไม่ต้องใช้แรงงานเยอะ เมื่อได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลุงฤทธิ์จึงเริ่มศึกษาเรื่องผักอย่างเต็มตัว
“จากแปลงที่หนึ่ง ก็ทำแปลงที่สอง สรุปง่ายๆ เงินเดือนออกไม่เคยเหลือสักบาท ไม่รู้เงินไปไหน ทำอยู่นั่นแหละ คือได้เงินมาก็ไปซื้ออุปกรณ์มาทำเพิ่มไปเรื่อยๆ ทำไปกี่แปลงไม่แน่ใจ แต่ได้ผักถึงหกพันต้น ทีนี้เราก็เริ่มไปติดต่อโรงแรม ไปดีลเอง ก็ได้ลูกค้ารีสอร์ท และร้านอาหารหลายแห่ง โดยเลือกวิธีขายส่ง เพราะเรายังต้องทำงานประจำ”
7.
มองปัญหาให้เป็นโอกาสในการพัฒนา
พี่รุ่งเล่าว่า ปลูกผักไป 1 ปี พบปัญหาว่าหน้าร้อนทำผักไม่ได้เลย กลับมาจากทำงานเจอผักเหี่ยวเข่าแทบทรุดลุงฤทธิ์จึงไปศึกษาวิธีแก้ไข ทั้งสร้างแปลงผักเองจากท่อพีวีซี ทำระบบให้น้ำค้างอยู่ในท่อหากไฟดับ แล้วยังศึกษาลงลึกถึงเรื่องเมล็ดพันธุ์ พากันตระเวนไปดูงานตามที่ต่างๆ ก็พบคำตอบว่าเมล็ดที่เคยใช้เป็นเมล็ดไทยที่คุณภาพไม่เต็มร้อย กระทั่งไปศึกษาค้นคว้าลึกลงไปก็ได้รู้ว่าต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ของต่างประเทศที่มีกระบวนการผลิตต่างจากของเรา ทำให้เราปลูกผักได้ตลอดปี
อีกปัญหาที่พบ คือ ช่วงหน้าหนาวผักสลัดออกเยอะ ทำให้ราคาตก เรื่องนี้พี่รุ่งยอมไม่ได้ เพราะมองว่าผักตนเองนั้นเป็นผักมีคุณภาพ ควรจะได้ราคาที่เท่าเดิมเสมอ จึงแก้ไขด้วยการลองเอาผักมาทำสลัดโรล จากนั้นเริ่มไปเดินสำรวจตามตลาดนัด พบว่าไม่ว่าที่ไหนๆ ก็มีแต่น้ำสลัดที่เหมือนๆ กัน จึงกลับมาคิดทำน้ำสลัดของตัวเองเพื่อให้มีความแตกต่าง และมีเอกลักษณ์
“ก่อนจะทำสลัดโรล ก็ไปเดินตลาด และตามดูยูทูบ สรุปง่ายๆ น้ำสลัดเหมือนกันทุกเจ้า ไม่มีใครคิดอะไรที่เป็นของตัวเอง เราก็มาเริ่มคิดสูตรน้ำสลัด ที่มาที่ไป คือ เมนูปลาช่อนแป๊ะซะที่แม่เคยทำให้กิน สูตรที่บ้านจะใส่ไข่ต้ม ใส่ถั่วและพริกป่น เราก็เอาสูตรนั้นมาปรับเป็นน้ำสลัดเมนูต้นตำรับของเรา แล้วก็ใช้ถั่ว ใช้อัลมอนด์ที่มีประโยชน์ผสมเข้าไปด้วย ส่วนวัตถุดิบอื่นก็คัดสรรอย่างดี อย่างไส้กรอกในห้างมียี่ห้ออะไรก็ทดลองซื้อมาหมด สุดท้ายเลือกไส้กรอกไก่หนังกรอบ เพราะคนไม่กินหมูก็กินได้ เด็กก็ชอบ พอลองไปขายที่ตลาดนัดท่าช้างเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ปรากฏว่าขายดีหมดเกลี้ยง เอาผักใส่ตะกร้าละ 50 บาทก็หมด จากนั้นก็เริ่มขยายไปตรงหลวงปู่ทวด มีเท่าไรก็ขายหมด จุดประสงค์หลักต้องการให้คนรู้จักสวนผักลุงฤทธิ์ ส่วนสลัดโรลเป็นเป้าหมายรอง แต่กลับขายดีเกินคาด”
นอกจากวางตามตลาดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว พี่รุ่งยังให้บริการเดลิเวอรี่อีกด้วย โดยจะจัดตารางเส้นทางที่จะไปในแต่ละวัน แล้วใช้การโทรศัพท์หาฐานลูกค้าที่เคยมาซื้อตามตลาดนัดที่วางขาย
“อาทิตย์หนึ่งจะทำ 3 เส้นทาง เช่น วันจันทร์พี่จะไปตลาดปากช่อง หรือไปแมคโคร เราก็มีฐาน ก็จะโทร. หาลูกค้าเดิมที่เคยซื้อ เรามีเบอร์ติดต่อเขาอยู่แล้ว บอกว่าวันนี้จะไปเส้นนี้ มีใครสนใจผัก สนใจสลัดโรลไหม เราก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่าแต่ละวันต้องได้เท่าไร และทำให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้”
8.
จุดกำเนิดสวนผักลุงฤทธิ์
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ พี่รุ่งถูกเลิกจ้างฟ้าผ่าช่วงโรคระบาดโควิด แม้ว่าจะตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จิตใจยังคงสงบเยือกเย็น ไม่ว้าวุ่น ใช้เวลา 1 เดือนกับตัวเองเพื่อทบทวนพิจารณาความรู้สึกและความต้องการ พบว่าไม่มีความทุกข์ในใจ ไม่ดิ้นรน แม้จะยังมีภาระที่ต้องใช้หนี้ เป็นที่มาในการตัดสินใจไม่ทำงานเป็นลูกจ้างอีกต่อไป
“ย้อนกลับไปว่าทำไมถึงไม่ทุกข์ คือ พี่กับลุงฤทธิ์เป็นคนสวดมนต์ไหว้พระ ธรรมะธรรมโม เป็นสายมูสายบุญ เราทำมาตั้งแต่เด็ก ก็มาตั้งสติตัวเองว่า เอ๊ะ...เราก็อยู่ได้นี่ ก็มีคนติดต่อให้ทำงานนะ แต่เราก็ไม่ไป คือ อยากจะรู้ว่าเราชอบอะไรจริงๆ ก็นั่งคิดอยู่ 1 เดือน จนสุดท้ายพบว่าเราก็ไม่ทุกข์ ไม่เห็นว่าต้องดิ้นรนหางานทำ หนี้สินก็มีนะ มีงวดรถที่ต้องส่ง มีนู่นมีนี่ แต่ทำไมใจเราไม่ร้อนรน พบว่าก็เพราะว่าเรามีธรรมะ แล้วตอนที่ถูกเลิกจ้างก็จะมีคนติฉินนินทานู่นนี่นั่นด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะคิดมาก แต่ตอนนี้กลับวางเฉย พออยู่กับตัวเองครบ 1 เดือน เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำอะไร ก็เริ่มต้นที่จะทำสวนผักลุงฤทธิ์แบบ 100%”
พี่รุ่งเล่าว่า ช่วงแรกไปเช่าที่เดือนละ 1,500 บาท ทดลองขายที่ตลาดกุดคล้า ลุงฤทธิ์มีหน้าที่ปลูกผัก พี่รุ่งมีหน้าที่ขนผักมาทำสลัดโรลเป็นกล่องๆ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 ทำสลัดโรล 300 กล่อง เอาไปฝากร้านอาหารที่ขายอาหารตอนเช้า ที่ละ 20-30 กล่อง พร้อมกับรับงานเป็นออแกไนซ์จัดเที่ยวที่เขาใหญ่ ดูทั้งเรื่องที่พัก และอาหารไปด้วย
“ทำสลัดโรลขายที่ตลาดกุดคล้าผ่านไปไม่ถึงปี ก็มีลูกค้าแนะนำให้เปิดร้าน อีกอย่างตอนนั้นที่ตลาดกุดกล้าเราทำคนเดียว เหนื่อยมาก เราร้องไห้บอกว่าลุงฤทธิ์ไม่ไหวแล้ว พูดกับลุงฤทธิ์ทุกวัน คือ เราถูกให้ออกกลางปี พอปลายปีลุงฤทธิ์ก็ลาออก พอต้นปี 2564 จึงตัดสินใจเปิดร้านเล็กๆ ด้วยกัน”
แม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะเกิดขึ้นในช่วงโควิด แต่ทั้งคู่ไม่ได้หวั่นใจมาก เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งโลก แต่มาคิดกันว่าจะอยู่กันอย่างไรในขณะที่ไม่มีงานประจำ ตั้งแต่นั่งคำนวณค่าใช้จ่าย ดูรายรับจากบำนาญของลุงฤทธิ์ แล้วยังเหลืออะไรบ้างที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน โดยคิดกันว่าขอให้พอมีเงินครอบคลุมแต่ละเดือนเท่านั้น
“ตอนเปิดร้านใหม่ๆ มีเมนู 5 อย่าง สลัดโรล ซี่โครง สันนอก พอร์กช้อป และสเต๊กแซลมอน เท่านี้ก็เหนื่อยมาก ร้องไห้ทุกวัน ปิดร้านสองทุ่มก็ต้องขับรถไปซื้อของ ตีสองก็ตื่นมาใหม่ ทำซี่โครงหมักเพื่อจะขายให้ทัน 10 โมง น้ำก็แทบจะไม่ได้อาบ ข้าวก็แทบจะไม่ได้กิน มันเหนื่อยมากสุดๆ เวลาลูกค้ามาเยอะ อุปกรณ์ก็ไม่มี โดนทั้งด่า ทั้งติชม ลุงฤทธิ์ก็ย่างซี่โครงไป ลูกค้าก็ด่าไป ลุงฤทธิ์ก็ได้แต่บอกว่ามันทำได้แค่นี้ เราก็ฮึบอย่างเดียว พอผ่านจุดนั้นมาก็เลยกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ผ่านจุดพีค พิสูจน์ตัวเองไปแล้ว คำชมคำด่าเอามาช่วยพัฒนา ไม่เคยตอบโต้ จดไว้เอามาคุยกับพนักงาน หาทางแก้ไข ก็ไม่รู้เราผ่านจุดนั้นมาได้ยังไง” พี่รุ่งเล่าด้วยน้ำเสียงที่อดทึ่งในตัวเองไม่ได้
9.
จุดเริ่มต้นร้านลับ
กระทั่งผ่านไปเกือบ 1 ปี ราว พ.ศ.2565 รัฐบาลเริ่มคลายล็อค ลูกค้าเริ่มมารับประทานอาหารที่สวนผักลุงฤทธิ์ บังเอิญมีเด็กสาวคนหนึ่งมาที่ร้าน เพื่อที่จะใช้สถานที่รีวิวเครื่องสำอาง แต่ก็สั่งอาหารหลายอย่าง ด้วยความน่าสนใจของอาหาร ทำให้เด็กสาวคนนั้นต้องตกตะลึง หันมารีวิวอาหารตรงหน้าเพิ่มด้วย มาทราบทีหลังว่าเด็กสาวคนนั้นมีชื่อว่า “เอ๊ะเอง” @aaeang_ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีคนติดตามระดับหนึ่ง
“พอเขาเอาลงติ๊กต็อก รุ่งขึ้นก็มีรถมาจอดเลย จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ คนมายังกับมางานทอดกฐิน มาเยอะทั้งวัน แต่ไม่ได้กินกันหรอก เพราะโต๊ะก็ไม่มี ที่นั่งก็ไม่พอ อยู่กันสองคน มีป้าข้างบ้านมาช่วย หลังจากวันนั้นเราก็มีลูกค้าเยอะขึ้น จานที่มีอยู่ แค่ 12 ใบ ก็ซื้อเพิ่มขึ้น ปรับทีละอย่าง จาก 5 โต๊ะเป็น 10 โต๊ะ เป็น 20 โต๊ะ เป็น 30 โต๊ะ เงินที่ได้มาก็เอามาต่อเติมขยาย ไปเช่าที่ข้างๆ กันไว้เป็นที่จอดรถ จนกระทั่งเจ้าของที่ที่เราเช่าจอดรถประกาศขายที่ดิน เราก็เริ่มกังวลว่าถ้าที่ถูกขายไป เราจะไม่มีที่จอดรถ”
จากนั้น พี่รุ่งและลุงฤทธิ์ เริ่มคิดหาทำเลทำร้านใหม่ในเขาใหญ่ สุดท้ายมาได้ที่อยู่ปัจจุบันนี้ เริ่มสร้างตั้งแต่มกราคม 2567 แล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ได้ฤกษ์เปิดร้านใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2567 เพราะพี่รุ่งถือว่าเป็นวันดี อีกทั้งเดือนกรกฎาคมยังเป็นเดือนเกิดของทั้งสองคนอีกด้วย
10.
ไม่ยึดติด ปรับเปลี่ยนได้เพื่อสิ่งที่ดีขึ้น
ความตั้งใจแรก พี่รุ่งกับลุงฤทธิ์มองเพียงแค่ว่าใครอยากกินเมนูซี่โครงก็มาที่ร้าน คาดหวังเพียงต้องการให้ร้านมีเอกลักษณ์ และคิดว่าจะไม่เปิดเมนูอาหารตามสั่งเด็ดขาด เพราะไม่มีคนมากพอ แต่เมื่อได้เห็นว่ามีลูกค้ากลุ่มใหญ่มาถึง ยังไม่ได้สั่งอะไรก็เดินทางกลับหมดเพียงเพราะว่าในกลุ่มมีหนึ่งคนที่กินไม่ได้ จึงกลับมาคิดทบทวนใหม่ มองว่าอยากให้ร้านมีเอกลักษณ์ก็จริง แต่เมื่อเเป็นร้านอาหารก็ควรจะต้องตอบสนองลูกค้าทุกกลุ่ม เราจึงปรับใหม่ให้มีเมนูสำหรับทุกคนที่มา ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรือมุสลิม
“พี่เป็นคนที่ปรับตัวเก่ง ไม่ได้ยึดติด เหมือนการทำงานที่ผ่านมา ใครให้ทำอะไรก็ทำ เพราะต้องการเรียนรู้ เราชอบคำติ เพราะเป็นการสะท้อนตัวเอง บางครั้งสิ่งที่เขาพูดอาจจะไม่เป็นเรื่องจริง เราก็แค่ปล่อยวาง ไปยึดติดมากก็ปวดหัว เพราะแต่ก่อนตอนที่ทำงานประจำ ตำแหน่งก็แค่หัวโขน ด่ากันตีกันทะเลาะกันแทบตาย สุดท้ายไม่เห็นได้อะไรเลย เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว โครงสร้างก็แค่ตำแหน่งหัวโขน ตอนนี้เรามาเป็นเจ้าของ ก็ต้องคอยแก้แต่ปัญหา มันเลยทำให้เราคิดได้ว่าปัญหาคือโอกาส ทำให้เราสะท้อนตัวเองได้ คำชมเป็นกำลังใจ คำติเป็นโอกาส ปัญหาอะไรที่เกิดที่ร้านเดิมเราก็จดไว้ พอมาร้านนี้ก็มาแก้ไขหมดเลย เรื่องห้องน้ำ การใช้ระบบรับออเดอร์ การอบรมพนักงานให้เร็วขึ้น”
ฟังๆ ไปชีวิตพี่รุ่งกับลุงฤทธิ์ต้องใช้ความอดทนและมีวินัยตลอดเส้นทางชีวิต จนอดถามไม่ได้ว่าระหว่างทางเคยท้อกันบ้างไหม
“เราเคยท้อไหมพ่อ” เสียงพี่รุ่งหันไปถามลุงฤทธิ์ ก่อนจะขยายความต่อ
“เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ความไม่อยากตื่นเราก็ต้องตื่น ความไม่อยากนอนเราก็ต้องนอน เราเคยทรมาน ต้องตื่นตี 2 บางทีนอนชั่วโมงเดียว วินัยทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามมาได้หมด ถ้าไม่มีวินัย ก็ตายเลย ตอนแรกๆ ตั้งนาฬิกาปลุก ทุกวันนี้ไม่ต้องตั้งแล้ว เป็นอัตโนมัติ กลายเป็นแบบแผนของชีวิตไปแล้ว”
ปัจจุบันสวนผักลุงฤทธิ์มีทั้งหมด 60 โต๊ะ 350 ที่นั่ง เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด เวลา 10.00-19.00 น. ผักมีกำลังการผลิต เพียงพอ เพราะมีลูกสวน 4 สวน สนับสนุนให้ชาวบ้านปลูกผักด้วยมาตรฐานเดียวกัน เน้นเรื่องความสะอาดและปลอดภัย โดยลูกสวนทั้งหมดนี้จะนำมาซัพพอร์ตที่ร้าน กับสาขา 2 ตั้งอยู่หลังเดอะมอลล์ โคราช ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2567
11.
ที่มาชื่อ “สวนผักลุงฤทธิ์”
“ตอนแรกก็อยากเอาชื่อพ่อแม่เรามาตั้ง แต่ด้วยความที่เป็นสายมูนิดนึง ชื่อพ่อแม่เลขมันไม่ได้ เลยลองเอาชื่อลุงฤทธิ์กับชื่อพี่มาผสมกัน แต่บวกเลขออกมาก็ยังไม่ดี พอใช้สวนผักลุงฤทธิ์ อ้าว เลขได้ ก็เอาชื่อนี้เลย นี่ดูเองเลยนะ(หัวเราะ) ส่วนคำว่าลุงมันดูขลังดี คือ จะเอาสวนผักปลอดสารพิษ ฟาร์มสเตย์อะไรมันก็ไม่ค่อยเข้าเท่าไร คำว่าลุงมันดึงดูดกว่า และตัวเลขมันได้ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อสวนผักลุงฤทธิ์” พี่รุ่งอธิบายอย่างเห็นขำขันแต่เอาจริง
12.
มีทุกวันนี้ เพราะไม่ทิ้งเป้าหมาย
พี่รุ่งบอกว่า เป้าหมายต่อจากนี้ คือ อยากส่งซี่โครงแช่แข็งไปวางตามเชลฟ์ในห้างร้านต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าที่มาไม่ถึงสวนผักลุงฤทธิ์ได้ลิ้มลองความอร่อยแบบไทยๆ ในราคาที่เอื้อมถึง
นั่นเพราะซี่โครง คือ เมนูที่ทั้งคู่ภาคภูมิใจอย่างมาก กับเรื่องราวความเป็นมายาวนานกว่า 20 ปี
“เรามีเป้าหมาย และไม่เคยทิ้งเป้าหมาย ตอนถูกเลิกจ้างช่วงโควิด เราเริ่มมาทำผักจริงจัง ตอนนั้นครอบครัวก็ไม่เห็นด้วย เพื่อนฝูงก็ไม่คิดว่ามันจะไปได้ แต่เราไม่เคยท้อ เพราะเรามีความฝัน เราเป็นคนสู้ ก็เอาคำดูถูกมาเป็นแรงบันดาลใจ จะเร็วช้าก็ไม่เป็นไร เหมือนเราอยากขึ้นเครื่องบิน ตอนนี้ยังไม่มีตังค์ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็ยังไม่ทิ้งเป้าหมายนะว่าต้องไปขึ้นเครื่องบิน” พี่รุ่งยืนยันสิ่งที่คิด
นี่คือเรื่องราวการเดินทางของคนธรรมดาคู่หนึ่ง ที่ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา อดนทนฝ่าฟันจนสำเร็จดังใจหวัง และ แน่นอนว่าเส้นทางต่อจากนี้ก็ยังคงต้องจับมือกันให้แนบแน่นมากขึ้นเดินหน้าต่อไปอีก เพื่อบรรลุเป้าหมายใหม่…ที่ไกลกว่าเดิม
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต