อย่ามัวแต่จมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต
แต่เราต้องก้าวต่อไป
1
ในชีวิตคนดูกีฬา มันจะมีการแข่งขันบางแมทช์ที่แม้จะจบไปแล้ว แต่ยังทำให้เรานอนไม่หลับ พอเคลิ้มจะหลับก็ฝันซ้ำๆ ถึงจุดเปลี่ยนของการแข่งขันที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ตื่นขึ้นมาก็ไม่อยากเชื่อกับผลลัพธ์ที่เกิด โลกหม่นไปทั้งโลก คล้ายเวลาสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป
ถ้าเป็นแฟนหงส์ เดาว่าหนึ่งในแมทช์ที่ว่าน่าจะเป็นการแข่งขันกับเชลซีในช่วงปลายพรีเมียร์ลีก 2013-14 ที่กัปตันทีม Steven Gerard เกิด “ลื่นบันลือโลก” ทำให้พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดายทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นชนะมา 11 นัดรวด แต่สำหรับแฟนเทนนิส (โดยเฉพาะที่เชียร์ Jannik Sinner) แมทช์ล่าสุดที่น่าจะทำให้อกหักจนอาจถึงกับเผชิญ 5 Stages of Grief คือ รอบชิงชายเดี่ยว Roland Garros (French Open) 2025 ที่เพิ่งจบไปเมื่อ 3 อาทิตย์ก่อน
![]()
ในแมทช์นี้ Jannik Sinner เป็นฝ่ายขึ้นนำ 2-0 เซ็ตก่อน และแม้ Carlos Alcaraz จะได้เซ็ตที่ 3 ไป แต่ในเซ็ตที่ 4 Sinner มีโอกาสได้แมทช์พอยต์ถึง 3 แมทช์พอยต์ แต่กลับปิดแมทช์ไม่ได้ และสุดท้ายกลายเป็นฝ่ายแพ้ Alcaraz ไปแบบฉิวเฉียดด้วย super tiebreak ในเซ็ตที่ 5 รวมเวลาการแข่งขันทั้งหมด 5.29 ชั่วโมง
ความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่แพ้ขาด แต่เป็นการแพ้แบบสูสี เฉียดกันไปนิดเดียว แพ้… ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราสู้ได้และมีสิทธิชนะ ยิ่งเป็นคนที่เข้าไปใกล้ชัยชนะมากขนาดนั้น แต่กลับคว้าเอาไว้ไม่ได้ การต่อสู้อันยาวนานที่ทุ่มเทไปทั้งหมดก็สูญเปล่า เพราะการแข่งขันมีผู้ชนะได้เพียงคนเดียว
บอกเลยว่าขนาดกองเชียร์อย่างเราๆ ที่ไม่ได้ลงแข่งเองยังซึมกันมาหลายวันขนาดนี้ ขนาดว่าวิมเบิลดันเริ่มแล้วก็ยังหลอน จินตนาการไม่ออกเลยว่าตัวของ Jannik Sinner เองที่อยู่ในวัยเพียง 23 จะต้องรับมือกับความรู้สึกที่หนักอึ้งมากมายขนาดไหน
![]()
Darren Cahill โค้ชของ Sinner บอกว่า หลังเดินออกจากสนามไป Sinner ขังตัวเองอยู่ในห้องพักนักกีฬานาน 15-20 นาที (โดยนักข่าวคนหนึ่งออกมาบอกภายหลังว่า Sinner ร้องไห้อยู่ 15 นาที ก่อนออกมาขอโทษนักข่าวที่ออกมาให้สัมภาษณ์ช้า) จากนั้นทีมโค้ชทยอยกันเข้าไปสวมกอด Sinner โดยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าพวกเขาภูมิใจในตัว Sinner แค่ไหน แต่ถึงจะเจ็บปวด Sinner ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นผู้ใหญ่เกินวัยก็ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังอย่างเข้าใจชีวิตว่า “ใช่ มันเจ็บปวด แต่เราจะมัวมานั่งเสียใจตลอดไปไม่ได้ เราคงต้องพยายามลืมมันไป และเลือกเก็บแต่เรื่องดีๆ ไว้ (เช่นความจริงที่ว่าเขาพัฒนาผลงานบนคอร์ทดินได้ดีแค่ไหน)” เขายังบอกอีกว่า “ความพ่ายแพ้แบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ และมันเคยเกิดกับนักเทนนิสคนอื่นมาก่อน เขาไม่ใช่คนแรก”
2
หนึ่งในนักเทนนิสที่เคยผ่านประสบการณ์พ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดเช่นเดียวกับ Sinner มี Roger Federer รวมอยู่ด้วย ในรอบชิง Wimbledon 2019 ที่ต้องตัดสินกันถึงเซ็ตที่ 5 Federer เป็นฝ่ายเบรค Novak Djokovic ได้ก่อน และออกมาเสิร์ฟเพื่อปิดแมทช์ตอนขึ้นนำ 8-7 เกม โดยเขามีโอกาส 2 แมทช์พอยต์ เมื่อสกอร์อยู่ที่ 40-15 แต่เขาก็กลับทำไม่ได้ ทำให้เสมอกันที่ 8-8 และต้องตัดสินกันด้วยไทเบรก ซึ่งเขาเป็นฝ่ายแพ้ไป
แน่นอน นี่คืออีกหนึ่งแมทช์หลอนตลอดชีวิตของแฟนๆ Federer โดยเฉพาะว่าถ้าเขาทำแต้มนั้นได้สำเร็จ เขาจะได้ถ้วย Wimbledon เป็นสมัยที่ 9 และ Grand Slam รายการที่ 21 อันเป็นสิ่งที่แฟนเฟดอยากจะเห็นเขาปิดท้ายการเป็นนักเทนนิสอาชีพด้วยถ้วยใบนี้มากกว่าใบไหนๆ
![]()
แต่ Federer ก็ยังโชคดีกว่านักเทนนิสอีกหลายคน เพราะถึงจะแพ้แบบเจ็บปวด แต่นั่นเป็นความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายอาชีพของเขาแล้ว ที่สำคัญ เขาได้ Grand Slam มาแล้วถึง 20 รายการ ไม่เหมือนกับ กรณีอย่าง Guillermo Coria ที่แพ้ในรอบชิง Roland Garros 2004 และไม่เคยทำใจได้เลยตลอดชีวิต
ปีนั้น Coria จากอาร์เจนตินาทำผลงานบนคอร์ทดินได้ดีมากและเป็นหนึ่งในตัวเก็งที่จะคว้าถ้วย Roland Garros โดยเฉพาะเมื่อ Federer พลาดท่าแชมป์เก่า 3 สมัย Gustavo Kuerten ไปตั้งแต่รอบ 4 และในยุคนั้น Rafael Nadal ยังไม่แจ้งเกิด ในรอบชิง เขาเจอกับ Gaston Gaudio ม้ามืดมือวางอันดับ 44 ของโลก Coria นำ Gaudio ไปแล้วใสๆ 6-0, 6-3 ใครดูก็ต้องคิดว่าชนะแน่ๆ แต่พอเข้าเซ็ต 3 Coria เกิดอาการบาดเจ็บ และสุดท้ายแพ้ Gaudio ไปใน 5 เซ็ต ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายได้แมทช์พอยต์ก่อน
![]()
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นทำลายชีวิตของ Coria ไปเลย เขาไม่เคยได้เข้ารอบชิงแสลมอีกเลย และไม่ได้สัมผัสแชมป์รายการใดๆ อีกเลยด้วย แม้แต่รายการระดับ Challenger ที่เขาต้องลงมาแข่งตามอันดับที่หล่นฮวบลงมา สุดท้าย Coria รีไทร์อย่างเงียบๆ ไปในปี 2009 ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังและสภาพจิตใจที่ไม่สามารถเรียกความมั่นใจกลับมาได้
3
คำถามที่หลายคนกำลังสงสัยอยู่ตอนนี้ก็คือ แล้ว Jannik Sinner ล่ะ… จะได้รับผลกระทบทางจิตใจจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้แค่ไหน?
แน่นอนว่าคำตอบนั้นไม่มีใครรู้ แม้แต่ Sinner เอง แต่ถ้าเราจะเดาจากวิธีคิดของเขาที่สะท้อนผ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆ ก็น่าจะพอใจชื้นได้บ้างว่าบาดแผลนี้อาจไม่ได้ต้องการเวลาเยียวยามากนัก เพราะอย่างเหตุผลที่ Sinner เลือกบอกลา “สกี” และหันมาจริงจังกับเทนนิสว่า ในการเล่นสกี ถ้าเขาล้มแค่ครั้งเดียว เขาสามารถแพ้ได้เลย แต่สำหรับเทนนิส ถ้าเขาทำพลาด เขายังมีโอกาสกลับมาแก้ไขใหม่ได้เสมอ จนกว่าจะ Game-Set-Match (Sinner เป็นแชมป์สกีระดับเยาวชน แต่พออายุ 13 ก็เลือกจะเอาดีด้านเทนนิส เขาออกจากบ้านไปฝึกเทนนิสที่ Piatti Tennis Center โดย Riccardo Piatti ออกทุนให้ทั้งหมดเพราะเห็นแวว) หรืออย่างที่ Darren Cahill เคยกล่าวถึงลูกศิษย์คนนี้ไว้ว่า Sinner เข้าใจดีว่าเทนนิสเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ในวัยที่เขากำลังข้ามผ่านจากวัยหนุ่มไปสู่วัยผู้ใหญ่
![]()
ทัศนคติในสองเรื่องนี้ของ Sinner ไม่ใช่เรื่องใหม่ จริงๆ แล้ว มันคือสองเรื่องในหลายๆ เรื่องที่ Roger Federer เคยพูดไว้แล้วเมื่อตอนที่ได้รับเชิญไปกล่าวสุนทรพจน์ให้กับบัณฑิตในงานรับปริญญาของ Dartmouth College เมื่อปี 2024 ในครั้งนั้น Federer ยกเอาบทเรียนจากเทนนิสมาเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตไว้ว่า “It’s only a point. When it’s done, it’s just what’s behind you” (อย่ามัวแต่จมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต แต่เราต้องก้าวต่อไป) และ “Life is bigger than the court” (ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็เหมือนชีวิตในสนามเทนนิส มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตทั้งหมดของเรา)
![]()
บางครั้ง ความพ่ายแพ้อันเจ็บปวดก็เกิดขึ้นเพื่อเป็นบทเรียนสำคัญบางอย่าง ขอแค่ข้ามผ่านมันไปได้ก็พอ … หวังว่าเด็กหนุ่มจากเมืองเล็กๆ ในอิตาลีที่ชื่อ Jannik Sinner จะใช้มันได้อย่างเป็นประโยชน์ในอาชีพเทนนิสและชีวิตของเขาต่อไป
อ้างอิง
atptour.com
thedailyguardian.com
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต
![]()
