
In the Presence of Absence: ในการปรากฏตัวของสิ่งที่หายไป
บทสนทนาเบื้องหลังภาพถ่ายของอำพรรณี สะเตาะ
สิ่งที่ปรากฏในภาพถ่ายของ “อำพรรณี สะเตาะ” ในการแสดงเดี่ยวครั้งล่าสุด “Port of Refuge” ซึ่งจัดแสดงที่ UP Vargas Museum ประเทศฟิลิปปินส์ ในระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 18 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น ผิวเผินอาจเป็นเพียงภาพถ่ายกึ่งสารคดี หรือภาพของทัศนียภาพของท้องที่ต่างๆ ทั้งที่ลารอแชล ประเทศฝรั่งเศส และที่จังหวัดปัตตานี บ้านเกิดของตัวศิลปินที่เก็บบันทึกเอาไว้ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแวดวงศิลปะที่ติดตามผลงานของช่างภาพศิลปินหญิงแถวหน้าของเมืองไทยคนนี้มาโดยตลอดจะทราบดีว่า ผลงานภาพถ่ายทุกชิ้นที่จัดแสดงเต็มไปด้วยข้อมูลและภูมิหลัง เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์บาดแผล และยังเปิดโอกาสให้มีการตีความตามภูมิหลังของผู้ได้มีโอกาสชื่นชมผลงาน
เหนืออื่นใด ผลงานของ “อำพรรณี สะเตาะ” เต็มไปด้วยสุนทรียะที่สามารถดูได้อย่างเพลิดเพลิน แม้ว่าเนื้อหาจะหนักหน่วงเพียงใดก็ตาม จะด้วยการจัดวางอย่างลงตัว เทคนิคการถ่ายภาพ สีสันที่เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นขาว-ดำ หรือภาพสีก็ตาม ศิลปินสามารถเลือกใช้งานได้ตามความตั้งใจในการสื่อสารเนื้อหาเบื้องหลังผลงานชุดนั้น และยังใช้เทคนิคทางจิตรกรรมมาใช้ในงานภาพถ่ายได้อย่างกลมกลืน ยังไม่รวมถึงการเพอร์ฟอร์มมานซ์ของตัวศิลปินเองในภาพถ่ายที่เป็นเซลฟ์พอร์ตเทรตอีกด้วย
กระทั่งผลงานภาพถ่ายท้องทะเลเวิ้งว้างแสนธรรมดาที่ถูกจัดวางเคียงกันอย่างลงตัวสองภาพนี้ ที่มีทั้งความโรแมนติกและงดงามจากผิวน้ำที่สะท้อนแสงของยอดคลื่นไกลๆ มองดูแล้วสบายตา กลับยังมีเรื่องราวซ่อนร้อยไว้เบื้องหลังจากการทำงานเชิงสัญลักษณ์ของตัวศิลปิน
ภาพนั้นเหมือนเราอยู่บนผืนดินแล้วมองออกไปยังทะเลที่สุดสายตา ภาพซ้ายนั้นคือชายหาดของปัตตานี ส่วนภาพขวาคือทะเลของลารอแชล ฝรั่งเศส คอนเซ็ปต์ของงานคู่นี้ก็คือ ภาพหนึ่งเรามองออกไปจากผืนดิน อีกภาพคือมองจากทะเลเข้ามา ซึ่งทั้งสองที่คือร่องรอยของเมืองท่า เป็นพื้นที่ที่อยู่คู่ขนานกันจากสายตาของเรา
งานชุดที่จัดแสดงที่ UP Vargas Museum มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะประโยคที่อธิบายผลงานในแผ่นพับระบุว่า สถานที่หรือพื้นที่ต่างๆ คือ “พยานใบ้”
โดยสถานะความเป็นช่างภาพ ย่อมมีหน้าที่บันทึกห้วงเวลานั้นๆ ไว้ ทำให้ภาพนั้นเป็นประจักษ์พยานของสถานที่ประวัติศาสตร์ต่างๆ โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลง แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนผ่าน แม้รูปทรงของอาคารหรือภูมิทัศน์อาจแปรเปลี่ยนไปบ้าง แต่พื้นที่เหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ — เงียบงัน และหนักแน่น
พื้นที่ที่ถูกบันทึกภาพเหล่านั้นจึงเปรียบเสมือน “พยานใบ้” ที่จดจำสิ่งที่มนุษย์อาจลืมเลือน ความทรงจำของเหตุการณ์ ยังคงซ่อนอยู่ในเงา ในแสง ในโครงสร้างไร้เสียง การบันทึกภาพพื้นที่เหล่านั้น และนำมาจัดแสดง ย่อมเป็นการเปิดพื้นที่ให้ความทรงจำได้เปล่งเสียงอีกครั้ง — โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
ซึ่งย่อมคือ “การปรากฏตัวของสิ่งที่หายไป หรือ In the Presence of Absence”
ภาพจากเพจ https://www.facebook.com/vargasmuseum.upd
จุดกำเนิดของผลงานชุดนี้เริ่มต้นจากปัตตานี จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายไปลารอแชล และมะนิลาในภายหลัง
ช่วงที่คิดงานชุดนี้ขึ้นมาเป็นช่วงที่เราอยู่บ้าน ตอนนั้นโควิด เราก็อยู่กับทะเลตลอด ช่วงนั้นมีเรื่องของการเมืองในท้องถิ่นเกิดขึ้น รู้สึกว่าเป็นเรื่องของการขุดหาด แล้วทำให้ทะเลตื้น ทำให้ชาวประมงไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้ ก็เลยทำโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมาเพื่อสื่อเรื่องนี้
หลังจากนั้นก็เกิดผลกระทบทางความคิดต่อเนื่อง ทำให้เราสนใจเรื่องเขตแดน เรื่องท่าเรือ เรื่องเมืองปัตตานี เลยไปศึกษาประวัติศาสตร์ ทำให้รู้ว่าปัตตานีเป็นเมืองท่าที่สำคัญมากๆ มาก่อน ความสนใจของเราเลยพุ่งไปที่เรื่องเมืองท่า อาจจะยังมีอยู่ หรือไม่มีอยู่ก่อนก็ได้ แต่มันคือร่องรอยในพื้นที่ที่ยังปรากฎ ณ เวลานี้ ก็เลยเข้าไปทำสารคดีภาพถ่ายในพื้นที่นั้นๆ ถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว บันทึกให้เห็นว่าเมืองท่าปัตตานี ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง และยังมีร่องรอยประวัติศาสตร์อะไรไหม
แล้วบังเอิญว่าช่วงนั้นได้เป็นศิลปินพำนักที่ฝรั่งเศส ที่เมืองลารอแชล ปรากฏว่าที่นี่ก็เป็นเมืองท่าเหมือนกัน และยังมีช่วงเวลาการเริ่มต้นค้าขายที่ใกล้เคียงกันกับปัตตานี พอเริ่มศึกษาก็พบว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจอื่นๆ เยอะมาก เช่น เรื่องกะลาสีทาส มีการขังคนไว้ในประตูชัย หรือประตูใหญ่ๆ ต่างๆ เราก็เลยไปเก็บร่องรอยเหล่านั้นมาทำเป็นซีรีส์ที่คู่ขนานไปกับเรื่องราวของปัตตานี ซึ่งมีความเป็นเมืองท่าเหมือนกัน
ส่วนงานที่มะนิลาเกิดจากกการที่คิวเรเตอร์เขามีความสนใจในงานของเรา เขาเห็นซีรีส์นี้แล้วรู้สึกว่าสามารถคอนเนกต์กับความเป็นมะนิลาที่เป็นเมืองท่าเช่นกันได้ เขาก็เลยคิวเรตงานขึ้น โดยเอางานเก่าของเราไปพูดใหม่ในบริบทเมืองท่าของมะนิลา
Du port de Patani au port de La Rochelle 01
รู้จักกับคิวเรเตอร์อยู่แล้ว หรือเขาติดต่อมาเอง
จริงๆ คุณเทสซ่าเคยทำงานที่ Metropolitan Museum of Manila แล้วเขาเคยเอางานเราไปแสดงมาแล้วครั้งหนึ่ง นี่ก็ผ่านไป 7-8 ปี เขาก็ติดต่อมาอีกครั้ง ว่าอยากได้งานเราไปแสดง เพราะว่าย้ายมาทำงานที่ UP Vegus Museum แล้วก็พอดีว่ามีงานซีรีส์ที่ทำที่ลารอแชลยังไม่ได้แสดงในไทย ก็เลยเสนอเขาว่าสนใจไหม แล้วส่งงานและคอนเซ็ปต์ไปให้เขาดู เขาดูแล้วก็สนใจมาก เพราะสามารถเอาไปเขียนถึงมะนิลาในมุมที่เขาสนใจอยู่ได้พอดี
เสียงตอบรับจากผู้ชมที่มะนิลาเป็นยังไงบ้าง
ไม่ได้ติดตามอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นการพูดคุยในแนวทางศิลปะเสียมากกว่า แล้วเทสซ่าเองก็รู้จักเราเองในฐานะที่เป็นคนมาจาก 3 จังหวัด ดินแดนที่มันยังมีความขัดแย้งอยู่ของไทย
Du port de Patani au port de La Rochelle 02
ทั้งปัตตานี ลารอแชล และมะนิลา ต่างเป็นเมืองท่าที่เชื่อมโลกเข้าด้วยกัน เปิดรับทั้งความรุ่งเรืองและความเปราะบาง ปัตตานีเคยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างอาณาจักรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับโลกอาหรับ อินเดีย และจีน ลารอแชลเป็นเมืองท่าที่สำคัญในแอตแลนติก ช่วงหนึ่งเป็นฐานการค้าทาส และเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางศาสนา ส่วนมะนิลานั้นเคยเป็นศูนย์กลางของ “Galleon Trade” หรือ “เรือใบมะนิลา” ระหว่างฟิลิปปินส์กับเม็กซิโกในยุคอาณานิคมสเปน เป็นประตูเชื่อมจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป
ในขณะที่ทั้งสามเมืองเปิดสู่โลกอย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกันก็เปิดประตูให้กับอำนาจภายนอก ความรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจควบคุม มีจุดร่วมด้านบาดแผลของอัตลักษณ์เมืองที่ไม่ต่างกัน มีการต่อต้าน การถูกกลืน และความพยายามจะจดจำ
ปัตตานีถูกผนวกเข้าสู่รัฐไทยสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 20 อัตลักษณ์มลายู–อิสลามถูกกดทับจนก่อให้เกิดความรุนแรงเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนลารอแชลเคยเป็นเมืองโปรเตสแตนต์ที่ถูกปิดล้อมโดยกองทัพคาทอลิกฝรั่งเศส การล้อมเมืองปี 1627–1628 ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ขณะที่มะนิลาตกเป็นอาณานิคมของสเปนถึง 327 ปี ต่อด้วยสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟิลิปปินส์ถูกเจ้าอาณานิคมที่ปกครองมายาวนานขีดลบอัตลักษณ์ความเป็นพื้นเมืองออกไปแทบหมดสิ้น มีการแทรกแซงศาสนา และสงครามไม่จบสิ้น จนสร้างแผลลึกในวัฒนธรรมฟิลิปปินส์
เมื่อเมืองเหล่านี้ถูกศิลปินนำมาถ่ายทอดเป็นผลงานศิลปะ การปรากฏกายที่ไร้สุ่มเสียงนี้ได้ผุดพรายสิ่งที่สูญหายไปในประวัติศาสตร์ให้ผู้คนได้หวนระลึกอีกครั้ง พยานใบ้ยังคงซ่อนอยู่ในเงาของมัสยิด โรงเรียนปอเนาะ เสียงอาซาน และวิถีชีวิตประจำวัน ความทรงจำอันเจ็บพวกของยุคค้าทาสและสงครามศาสนายังคงสิงสู่อยู่ในหอคอยริมทะเล ป้อมปราการ และพิพิธภัณฑ์ของเมืองเก่าลารอแชล และหากใครได้เคยไปเยือนเมืองเก่าอินทรามูรอสในกรุงมะนิลา ที่เคยเป็นเขตปกครองสเปนที่ห้ามคนพื้นถิ่นย่างกรายเข้าไปนั้น ท่านก็จะเห็นประจักษ์พยานที่เป็นอาการเก่าแก่ เห็นป้อมซานติอาโก และซากอาคารที่พังทลาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทั้งเจ้าอาณานิคมและการต่อสู้เพื่อเอกราช
งานที่แสดงใน UP Vargas Museum มีทั้งหมดกี่ชิ้นครับ
มีงานทั้งหมด 20 กว่าชิ้น งานทั้งหมดนี้ไม่เคยแสดงที่บ้านเราเลย บางทีก็น้อยใจนะ เพราะอะไรรู้ไหม อย่างคุณเอดัวร์ที่เคยเชิญไปที่ลารอแชลก็เคยถามว่า ทำไมไม่แสดงที่ไทย เราเองก็ดันเป็นพวกที่เที่ยวเดินไปหาใคร แล้วขอให้เขาทำการแสดงให้ไม่เป็น จังหวะพอดีเจอกับเทสซ่า เขาก็เชิญแสดงทันที แต่ก็นั่นแหละ งานนี้ก็ไม่ได้แสดงในไทย
ไม่เป็นไร ถือว่าเราไปโตที่เมืองนอกก็ได้ เพราะศิลปินไทยดังๆ ก็ไปแสดงเฉพาะที่ต่างประเทศทั้งนั้น
บางทีก็น้อยใจนิดๆ
งานชุด “Port of Refuge” นี้ คนไทยไม่อาจได้ชื่นชมกันด้วยตาตัวเอง ทั้งที่เนื้อหานั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ภาพส่วนหนึ่ง หรือผลงานทั้งชุดจะได้มีโอกาสมาปรากฏกายต่อหน้าพวกเราทุกคน มิได้สูญหายไป เพื่อจะได้ทำหน้าที่ “พยานใบ้” ที่เปล่งเสียงกังวานไปในโลกที่เปลี่ยนการกดทับ การข่มเหง การสร้างความรุนแรง การทำให้แปลกแยก และสงครามได้รับรู้
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต