
ลาบก้อยของคนอีสาน
แบรนด์ดิ้งของการคิดถึงบ้าน
เรานัดกันที่ร้านยายยลคนชัยภูมิ ร้านลาบดังย่านบางบัวทอง ไม่ไกลจากที่พักของฝ้าย หรือ “อาทิตย์ มูลสาร” ผู้กำความรับผิดชอบในการจัดนิทรรศการจักรวาลลาบก้อย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล “Isan Creative Festival 2025” ณ TCDC ขอนแก่น อ. เมืองขอนแก่น มากนัก
ระหว่างบทสนทนามีเสียงเครื่องเคาะเป็นครกกับสากเสียงดังโป๊กเป๊ก มีเสียงสับเนื้อบนเขียงดังปักๆ มีเสียงเปิดขวดโบ๊ะๆ เสียงปึงของฝาถังน้ำแข็ง เสียงแกรกกรากของก้อนน้ำแข็งหลอดใหญ่กระทบกันตอนตัก เสียงไรเดอร์และยายยลตะโกนคุยกับรับส่งออร์เดอร์ไม่หยุดหย่อน ให้บรรยากาศของการคุยเรื่องแซ่บๆ ของคนอีสานเหลือคณา และแน่นอนว่าระหว่างเสียงสรวลเสของพวกเรายังแทรกไปกับเสียงหัวเราะเฮอะฮะตลอดเวลาของ “อาทิตย์ มูลสาร” ที่เพื่อนๆ เรียกบักฝ้าย ที่น้องๆ เรียกอ้ายฝ้าย บางคนกวนๆ ก็เรียกเขาว่า กำนันฝ้าย แต่คนส่วนใหญ่ในวงการวัฒนธรรมและอาหารอีสานรู้จักเขาในนาม “ฝ้าย ลาบเสียบ”
เสียงประกอบยังไม่เท่าไร แต่กลิ่นนี่สิ ใช่เลยทุกอย่าง ยั่วยุให้ต่อมน้ำลายทำงานจวนเจียนบ้า ทั้งกลิ่นเนื้อย่าง ลาบปลาดุก แกงอ่อม ส้มตำนานาชนิดลอยอวลอยู่ในมวลอากาศ เวลาเที่ยงตรงที่เรานัดกัน
โชคดีที่ฝ้ายมาก่อนเวลานัด เลยได้สั่งอาหารไว้รอท่าผมอยู่ก่อนแล้ว ทั้งส้มตำ เนื้อย่าง ทั้งลาบก้อย เข้ากับเรื่อง “จักรวาลลาบก้อย” ที่เรากำลังจะคุยกันวันนี้
ปล.จริงๆ แล้วบทสนทนาของเราเป็นภาษาอีสานเสียงในฟิล์มล้วนๆ มีปนไทยบ้างตรงที่ต้องอธิบายแบบวิชาการจริงจัง แต่ที่เหลือคือจวดๆ โฮแซวกันประสาคนยโสธรคุยกัน
ไปยังไงมายังไง ถึงได้มาจัดงานครั้งนี้
ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย เป็นทาง CEA (Creative Economy Agency) ติดต่อมา น่าจะเป็นประเด็นที่เขาตั้งไว้อยู่แล้ว ประกอบกับผมทำร้านลาบเสียบ และออกรายการอาหารที่เกี่ยวกับซอสอีสาน Under Cook ที่เกี่ยวกับลาบ ถ้าเป็นเรื่องลาบคนที่ออกสื่อมากหน่อยก็น่าจะเป็นผม ผมเคยออกรายการของช่อง Today ออกรายการ Active ของไทยพีบีเอส ตอนนั้น Active มีข้อมูลแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีใครจากร้านลาบจริงๆ มาพูด ซึ่งทาง CEA ก็น่าจะเห็นจากสื่อนี่แหละ แล้วก็คงไปถามทางตั้ม-ฆัลX และอุกฤษณ์ จอมยิ้ม เขาก็แนะนำผมอีกที
ตอนที่ติดต่อมา เขาเรียกผมกำนันฝ้ายด้วยนะ (หัวเราะ) เพราะตั้มเรียกผมแบบนั้น เลขานึกว่าผมเป็นกำนันจริงๆ (หัวเราะอีก)
ตอบตกลงรับงานนี้เลย
ใช่ครับ แล้วผมก็ไปจ้างทีมนักมานุษยวิทยาให้ทำการเก็บข้อมูล จากนั้นก็ติดต่อทีมครีเอทีฟจากบริษัท “ติโต ติโต” ให้มาช่วยทำนิทรรศการ แต่ทำไปสักพักก็พบปัญหาว่า ข้อมูลที่นักมานุษยวิทยาหามานั้น ทาง CEA มองมาว่ายังไม่สามารถสร้างแรงบันดาลให้กับคนที่มาชมงานได้มากพอ เพราะเขาต้องการอะไรที่เห็นแล้วว้าว เกิดแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์แบบที่ทีมผมหามา ซึ่งมายด์เซ็ทระหว่างนักออกแบบและนักวิชาการนั้นแตกต่างกันมาก เลยต้องมีการปรับกันอยู่นาน จึงออกมาเป็นแบบที่ต้องการในที่สุด
ปรับอะไรกันบ้าง
ตอนแรกนั้น ภาคประวัติศาสตร์จะอยู่ที่ 60-70 % ตอนนี้ลดเหลือ 20-30% แล้วเพิ่มในส่วนของงานครีเอทีฟ เช่นไปสัมภาษณ์ร้านอีสานอิซากายะที่กำลังเกิดขึ้นว่าเป็นยังไงบ้าง ไปหาข้อมูลเชิงตัวเลขว่าร้านลาบที่อยู่นอกอีสานมีปริมาณเท่าไร และพบข้อมูลที่น่าตกใจว่าที่ภาคใต้มีร้านอาหารอีสานเยอะมาก อย่างที่ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ มีร้านลาบชื่อประตูสู่ภาคใต้ด้วย ข้อมูลที่ได้มาสนุกและตื่นเต้นดี เราเองที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องลาบก้อยดีพอแล้ว ก็ยังตกใจในตัวเลข
แล้วสิ่งหนึ่งที่ได้ความรู้จากงานวิจัยที่มาตอกย้ำสิ่งที่ผมเคยพูดไว้เสมอก็คือ ความเป็นร้านลาบก้อยในอีสานและต่างพื้นที่มีความหลุดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง มีความเป็นอีสานเหมือนกัน แต่วัฒนธรรมการกินหลุดกันมาก อย่างลาบในอีสานคือส่วนหนึ่งของงานบุญงานบวช คือมีบ้างเหมือนเหมือนกันที่เปิดร้านขาย แต่ก็ไม่มาก มีพวกร้านลาบที่คอยทำเสิร์ฟข้าราชการแม่บ้าน แต่ก็ต่างกันกับร้านลาบในกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นชีวิตประจำวัน มันคืออิซากายะที่คนถอดเนคไทและปลดกระดุมออกสองสามเม็ดแล้วมานั่งกินล้งเล้งกัน ไม่ต้องรองานบุญงานบวชอีกต่อไปแล้ว นี่คือโครงสร้างของความเป็นลาบในสองพื้นที่ที่ต่างกัน
และยิ่งพอมาเห็นร้านลาบในกรุงเทพฯ ตอนนี้ ยิ่งมีความน่าสนใจ เพราะมันไปสัมพันธ์กับอิซากายะ สัมพันธ์กับร้านอาหารอย่างอื่นที่กินหลังเลิกงานได้ ซึ่งผูกพันกับความเป็นมนุษย์เมืองและหนุ่มสาวออฟฟิศมาก ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าพัฒนาต่อ แต่ผมก็เห็นว่าร้านแนวอิซากายะอีสานที่มีมากขึ้นอยู่ตอนนี้มีความเป็นญี่ปุ่นมากเกินไป ยังไม่ให้เกียรติความเป็นอีสานมากพอ คือความเป็นอีสานบวกญี่ปุ่นมองดูก็เก๋ดี แต่ผมมองว่าเรายังมีทางไปที่ชัดเจนในทางของเราเองได้อีก
ผมมีโอกาสสัมภาษณ์พี่อี๊ฟ -ณัฐธิดา พละศักดิ์ เจ้าของร้านซาว หรือแม้กระทั่งเชฟชาลี จากร้าน 100 มหาเศรษฐ์ เขาก็จะพูดเหมือนที่ผมพูด คือไม่จำเป็นต้องไปเป็นคนอื่นขนาดนั้นก็ได้
แต่การที่เราจะเป็นอีสานในแนวใหม่แบบนี้ เราก็ต้องเข้าไปในตลาดให้ได้ก่อน และรอเวลาอีกหน่อยกว่าที่คนจะเข้าใจว่าร้านลาบคือร้านลาบ อิซากายะก็คืออิซากายะ
แล้ว 70/30 ในนิทรรศการครั้งนี้แบ่งกันยังไงบ้าง
กิจกรรมทั้ง 9 วันนี้ ไม่ใช่งานทอล์กนะครับ แต่มันคือการชิมอาหารทุกอย่างเลย เช่น จี่เกียXลาบเสียบ “จักรวาลแจ่วอีสาน” ซัพพอร์ตโดยทีมงานสุรากลั่นออนซอน “จักรวาลของเลือด” อันนี้พี่หมู-ทิฆัมพร ศรีคำแหง จาก “พากันมาแต่ไส” เป็นคนจัดให้ “จักรวาลของขม” ได้บอยเด้อ ร้านซอยถี่มาช่วย “จักรวาลข้าวคั่ว” โดย Rice Hub “จักรวาลผักเคียงและโภชนาการในร้านลาบ” จากสถาบันอาหาร แล้วยังมี “จักรวาลลาบผัก” และ “จักรวาลลาบก้อยปลา” โดยจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ซึ่งงานเหล่านี้เปิดให้เข้าชิม 2 รอบเท่านั้น คิดเพียงหัวละ 199 บาท และยังมีเครื่องดื่มแพร์ริ่งให้ด้วยในทุกเมนู
อย่าง “จักรวาลของขม” บอยเด้อเป็นคนที่เก่งเรื่องลาบก้อยแบบดั้งเดิมมาก เขาก็จะมีเครื่องดื่มของเขาเองมากินคู่ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับบอยเด้อก็คือ เขาเก่งเรื่องวัฒนธรรมการเชือดเนื้อที่ยังดิ้นๆ สดๆ อยู่ แล้วก็ในอีสานยังสามารถหาเพี้ยที่หอมได้ แต่ถ้าในกรุงเทพฯ มีแต่โคขุน ถ้าภาษาปศุสัตว์เรียกว่า “อาหารขัน” การกินหัวอาหารทำให้เพี้ยเหม็นและคาว กินไม่อร่อย แต่ถ้าเป็นการเลี้ยงในอีสานแบบเดิม วัวกินหญ้าจริงๆ เพี้ยก็จะยังหอมและขมอยู่
คนที่เข้ามาร่วมงาน นอกจากจะได้ชิมอาหารแล้วจะได้อะไรกลับไปอีกบ้าง
ก็ได้ความรู้ เพราะว่างานนี้เป็น Cook & Talk เป็นการทำอาหารไปด้วย และพรีเซนต์ไปด้วย แต่ไม่ใช่เชฟเทเบิ้ลนะครับ ง่ายๆ ก็คือ คุณมากินอาหาร และก็ได้ฟังทอล์กไปด้วย
ธีมหลักของงาน ISANCF 2025 คือเรื่องของโอกาส
ใช่ครับ แต่คำว่า “โอกาส” นี่ก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่นามธรรม ถ้าเป็นตัวหนังสือหรือตัวเลขก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พอเป็น “โอกาส” เราก็ต้องมาตีความให้หนักๆ กันว่าจะทำให้ออกมายังไง
ตอนที่ไปสัมภาษณ์เชฟญี่ปุ่นที่ร้าน “คัปโปะ โตโมะ” ร้านเล็กๆ ที่ต้องจองก่อนเสมอ มีลูกน้องเป็นอีสานทั้งหมดเลย เจ้าของร้านบอกว่าลาบก้อยนี่เหมือน “ยูเกะ” ที่เป็นอาหารญี่ปุ่น แกบอกว่าเครื่องเทศในลาบสุดยอดมาก เผ็ดก็เผ็ดแต่ว่าอร่อย แกก็บอกว่า ถ้าจะบุกตลาดญี่ปุ่น ต้องลดเผ็ดลงหน่อย เครื่องเทศยังคงไว้ได้ และให้เน้นที่ข้าวคั่ว
ส่วนเชฟการิมา จากร้าน 'Gaa (กา)' ร้านอาหารอินเดียไฟน์ไดนิ่งที่ได้รับรางวัลมิชลิน 1 ดาว บอกว่าอาหารอีสานนี่โอเคเลย แกชอบกินแกงอ่อมมาก ส่วนลาบก็กินได้ เพราะที่อินเดียมีอาหารที่ทำจากเนื้อสับและเครื่องเทศแรงๆ แบบนี้เหมือนกัน
ความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย ญี่ปุ่นบอกลดลงหน่อย อินเดียบอกว่าแบบนี้ได้เลย คือเราไปให้ทั้งคู่ช่วยครีเอตให้หน่อยว่า ถ้าจะไปต่างประเทศ อาหารอีสานควรจะออกมาแบบไหนดี
ส่วนถ้าไปถามเชฟชาลี จากร้าน 100 มหาเศรษฐ์ แกก็จะบอกว่าอาหารอีสานมีความสนุกและจริงใจอยู่ในนั้น แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ต้องทำให้เลิศเลอไปเลย เน้นชูวัตถุดิบ ซึ่งบางคนอาจจะไม่เอาวัตถุดิบแบบนี้ไปทำลาบก็ได้ แม้จะเป็นวัตถุดิบของอีสานก็ตาม ซึ่งตัวอย่างของร้าน 100 มหาเศรษฐ์เอง เขาใช้เนื้อวัวจากฟาร์มที่อีสานทั้งหมด
ซึ่งตอนที่ผมไปสัมภาษณ์เชฟต่างๆ เหล่านี้ ก็เห็นหลากหลายโอกาสว่าเราจะเล่นทางไหนก็ได้
โอกาสสำหรับคนที่เข้ามาร่วมงาน โอกาสสำหรับคนอีสานที่อยากเป็นผู้ประกอบการ และโอกาสในเวทีโลก คนที่เข้ามาร่วมงานจะสามารถต่อยอดอะไรได้อีก
งานนี้เป็นเรื่องลาบก้อยก็จริง แต่งานมีถึง 9 วันจะมากินแต่ลาบก้อยได้ยังไง ก็ต้องกินอย่างอื่นที่อยู่รอบๆ ด้วย ถ้าคุณมีมุมมองธุรกิจ อาจจะต่อยอดไปทำอย่างอื่นได้ เช่น ทำฟาร์มผักเคียง ชูผักอีสานให้เด่นไปเลย อย่างล่าสุด ผมก็เพิ่งรู้ว่าผักที่มีใบเป็นขนนี่ดีมาก เหมาะกับอาหารดิบ เพราะสามารถช่วยย่อยได้ อย่างอาหารญี่ปุ่นก็จะกินกับใบโอบะ อาหารอีสานก็กินกับใบหูเสือ ซึ่งถ้าเรามุ่งเน้นมาทางการเกษตรนี้ ก็น่าจะมีโอกาสเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่แค่ผักนะครับ เรื่องข้าวก็สำคัญเช่นกัน เพราะต้องกินคู่กัน และยังเป็นเครื่องปรุงลาบที่สำคัญด้วย
โอกาสทางปศุสัตว์ก็มีเช่นกัน เนื้อแบบไหนเหมาะกับอาหารแบบไหน โอกาสทางโภชนาการก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งสถาบันอาหารก็จะมาพูดเรื่องนี้
ส่วนโอกาสทางธุรกิจก็สามารถปรึกษากับบอยเด้อได้ เพราะเขาเปิดร้านไปแล้ว 4-5 สาขา ในอุดรธานี ร้อยเอ็ด ขอนแก่น พิษณุโลก ฯลฯ
แล้วคนที่ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานชิมจะมีโอกาสอื่นอะไรบ้าง
ก็สามารถเข้าร่วมชมนิทรรศการโดยปกติได้ ซึ่งจะมี Key Word ของเชฟแต่ละคน เช่น เรื่องเครื่องเทศ เรื่องปศุสัตว์ เรื่องเนื้อที่วิจิตรบรรจงขึ้นมาหน่อย ซึ่งนิทรรศการนี้ก็จะมีทั้งของเก่าและของใหม่ มีกิจกรรมแปะโพสต์อิทว่าลาบก้อยกินกับอะไร เครื่องดื่ม ผักเคียงอะไร กินกับข้าวเหนียวไหม มีวิทยุทรานซิสเตอร์ที่เปิดเพลงเกี่ยวกับลาบก้อย มี “คีงไฟ” ที่เป็นครัวแบบอีสานโบราณ เพราะผมไม่ได้ใช้หม้อดินนะ แต่ใช้ปี๊บเหมือนที่ใช้ตามงานบุญงานบวชงานดองที่ใช้ต้มกระดูก
เรายังมีนิทรรศการเกี่ยวกับเขียงด้วย ซึ่งคนอีสานชอบคิดว่าไม้มะขามดีที่สุด แต่ว่าไม่ใช่ และยังไม่ติด 1 ใน 3 ของเขียงที่ดีที่สุดในประเทศนี้ด้วยซ้ำ อันดับแรกคือไม้ตะพรุนหินหรือไม้ตีนนก อันดับสองคือไม้ลูกหยีหรือไม้บักเค็ง ส่วนอันดับสามคือไม้บักค้อหรือตะคร้อ นิทรรศการเราเลยอยากให้คนอีสานเห็นว่าของดีของเรามีมากกว่านั้น แล้วก็มีเหล้าท้องถิ่นและไวน์ท้องถิ่นมาแสดงให้ดูว่าเหมาะกับลาบยังไง มีผักเคียงจริงๆ มาวางให้ได้ลองเด็ดดมหรือชิมได้เลย
คือผมจัดงานนี้โดยต้องการให้มันมีมากกว่าตัวหนังสือ เพราะอยากให้มีบรรยากาศที่ดีด้วย
ในฐานะที่ทำธุรกิจอาหาร และนิทรรศการอาหารมาหลายปี อยากรู้ว่าอาหารอีสานของเราจะไปสู่ระดับโลกได้จริงเหรอ
ไปแล้วครับ ที่โซโห ประเทศอังกฤษ มีร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่งขายไก่ย่างมะแขว่น คนดูละครเสร็จก็แวะมากินกัน แล้วยังมีต้มแซ่บแบบอีสานที่ใส่พริกเผ็ดไปเลย หรืออย่างสาวร้อยเอ็ดที่แต่งงานไปอยู่อเมริกา ก็เปิดร้านขึ้นมาเพราะคิดถึงบ้าน แล้วฝรั่งก็เปิดใจกินตาม
ก็น่าจะต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะไม่เหมือนผัดไทยหรือต้มยำ
คืออย่างนี้ครับ ตอนนี้ต้มยำก็เริ่มช้ำแล้ว จะว่ายังไงดี คือเรื่องแบบนี้จะไปเฉพาะอาหารไม่ได้หรอก อย่างเกาหลีเขาไปทั้งองคาพยพเลย เรื่องนี้น่าสนใจว่าเขาพากันไปได้ยังไง สำหรับผม ผมเห็นโอกาสอย่างหนึ่งนะ ผมว่าเครื่องดื่ม ดนตรี และลาบก้อย ไปด้วยกันได้ ผมเลยจัดอยู่บ่อยๆ ทุกวันนี้ ตอนนี้ผมก็มีวางแผนกับเพื่อนไว้ว่า ถ้าเราจะไปตลาดญี่ปุ่น แรกเลยต้องเอาดนตรีไปก่อน เพราะเขาเปิดรับอยู่แล้ว เราก็จัดเฟสติวัลเล็กๆ แล้วแทรกอาหารอีสานและลาบก้อยเข้าไป
เรื่องเครื่องดื่มนะครับ ตอนนี้ไทยเราทำเยอะมาก ทั้งสาโท ทั้งจิน ผมว่าเราต้องเอาทั้งสามอย่างนี้ไปด้วยกัน
ทำไมกินลาบกินส้มตำที่กรุงเทพฯ ทำไมรสไม่ได้เหมือนกินอยู่ที่บ้านเรา
ส้มตำไม่เท่าไร แต่ลาบนี่ผมว่าไม่ได้เลย เพราะเนื้อไม่สดพอ การกินลาบนะ เทียบกับกินในร้านกับกินในงานแต่งงานบวชคนละเรื่องเลย แต่ถ้าในกรุงเทพฯ ผมว่ามีอยู่ 2-3 ร้านที่ใกล้เคียง ก็มี “เต้ยลาบยโส” และ “อ้ายศักดิ์ลาบยโส” ที่ร้านอยู่แถวบางบัวทองนี่เหมือนกัน กินสองร้านนี้แล้วคิดถึงบ้านทันที
และได้ข่าวว่ามีอีกร้านหนึ่งอยู่แถวบางนา กม.8 ชื่อร้าน “ลาบยโสซิ่ง” ร้านนี้เรียกได้ว่าเป็นไอดอลด้านลาบก้อยเลยก็ว่าได้ เขาขายตอนเช้าเท่านั้น สมัยแรกๆ ก็ขายให้คนขับสิบล้อรถบรรทุก ที่ของเขาดีเพราะได้เนื้อที่เพิ่งเชือดสดๆ มาทำลาบ
ช่วยเล่าถึงสกุลลาบหน่อย
อันนี้เป็นข้อดีของทีมนักมานุษยวิทยาที่ไปทำข้อมูลมา คือสุดท้ายในเรื่องของเครื่องปรุงทั้งลาบและก้อยไม่ต่างกันมาก ในอีสานเมนแลนด์เท่านั้นนะครับ (หัวเราะ) แต่โคราชและชัยภูมิมีความต่าง เพราะชอบกินขมกับเปรี้ยวเคล้ากัน ไม่นับอีสานใต้ เพราะเขาไม่กินลาบก้อย ส่วนยโสธรบ้านผมจะอีกแบบ ปกติขมกับเปรี้ยวเป็นรสชาติที่ตัดกันโดยสิ้นเชิง มันจะไม่ส่งเสริมรสชาติของเนื้อ แต่โคราชและชัยภูมิกลับกินเปรี้ยวและขมปนกัน อย่างร้านไก่ย่างสืบศิริ ที่ปักธงชัย ต้มขมเขาจะรสชาติออกแปลกๆ หน่อย เพราะขมกับเปรี้ยวมันอยู่ด้วยกัน ผมเองเคยทำก้อยมะนาวให้เพื่อนที่ปักธงชัยกิน ซึ่งรสชาติจริงๆ มันต้องเปรี้ยวๆ ใช่ไหม แต่พวกเขากลับขอดีวัวมาใส่ เราก็แย้งว่ารสชาติสองอันนี้ไม่น่าจะเข้ากันนะ แต่เขาก็เถียงว่า “หัวหน่าๆ (สำเนียงโคราช) มันจะได้มีรสเหมือนเปลือกบักนาวยังไงละ” นั่นแสดงว่าเขาติดรสชาติขมปนเปรี้ยวนั่นเอง
แล้วบางที่ในโคราชและชัยภูมิจะใส่ตะไคร้ในลาบด้วย
นั่นแหละครับ จากการเก็บข้อมูลของทีมคอนเทนต์ ปรากฏว่าเครื่องปรุงอะไรไม่ได้ต่างกันมาก แค่ยืนยันว่าร้านนี้คนยโสธรขาย ร้านนี้คนชัยภูมิขาย นี่คนร้อยเอ็ดขายนะ จะได้ดึงดูดว่าคนบ้านเดียวกันมาหากัน
เป็นเรื่องของการแบรนด์ดิ้งแบบนี้มากกว่า แม้จะมีคนเคยบอกว่าคนยโสธรกินขมมากกว่า แต่เอาเข้าจริงคนกาฬสินธุ์ก็ไม่น้อยหน้าหรอก ไม่ได้ต่างอะไรกันเท่าไรเลย เอาเข้าจริงสกุลลาบหรือชื่อห้อยท้ายว่าลาบจากจังหวัดไหนๆ เป็นการแบรนด์ดิ้งให้คนเข้ามาหากันมากกว่า
ภายในงาน ISANCF2015 จักรวาลลาบก้อยดูเหมือนว่าจะสัมผัสจับต้องได้ง่ายกว่ากิจกรรมอื่น เพราะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ไม่ใช่เรื่องของสะสม เรื่องของมีค่าที่ต้องมีเงินหนาๆ ถึงจะไขว่คว้ามาได้ คิดว่านิทรรศการที่ตัวเองดูแลอยู่เป็นอย่างนี้ไหม
ผมทำงานนี้ออกมาก็หวังแค่ว่าจะได้ช่วยให้คนอีสานด้วยกันมีโอกาสมากขึ้น เพราะงานก่อนหน้านี้ก็มีแต่คนภาคอื่นมาช่วยจัด มีผมกับคุณอี๊ฟร้านซาวเท่านั้นที่ได้มีโอกาสมาช่วยทำงานครีเอทีฟของคนอีสาน ดังนั้นอยากให้ทุกคนมาชมงานนี้ด้วยกันครับ
สรุปความน่าสนใจของงานนี้
สำหรับคนภาคอื่นๆ จะได้เห็นภาพของอาหารอีสานที่ไม่คุ้นตาเลย เพราะมีทั้งความครีเอทีฟและสะอาดสะอ้าน ส่วนในฐานะคนอีสานด้วยกันเอง คุณก็จะได้เห็นว่าอาหารอีสานของเราสามารถไปได้ไกลมากกว่านี้ เช่นก่อนหน้านี้ผมคิดว่ากระแส Plant Based ตกไปแล้ว แต่พอได้ไปศึกษาปรากฏว่ามีลาบทอด Plant based หลายแบรนด์มากๆ ผงลาบก็มีหลากหลายแบรนด์มากๆ เรื่องนี้เราต้องมารีบคิดในฐานะคนอีสานว่ายังมีอะไรที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราต่อยอดออกไปได้อีกบ้าง ต้องสร้างสรรค์มากขึ้น คิดในเชิงธุรกิจมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในอีสานของเรา
มีวิจัยออกมาแล้วว่า ถ้าคนอีสานมีเงินเดือนเพิ่มอีกคนละ 4 บาท อีสานจะเป็นภูมิภาคที่มีจีดีพีโตที่สุดในประเทศไทย เพราะเรามี 20 จังหวัด และประชากรมากที่สุด ดังนั้นผมต้องช่วยเพิ่ม 4 บาทให้พี่น้องอีสานให้ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดได้เพิ่มคนละ 50 สตางค์ก็ยังดี (หัวเราะ)
บทสนทนาของเราจบลงที่เสียงหัวเราะร่วนยาวๆ ประสาคนอารมณ์ดีของฝ้าย ตลอดเวลาชั่วโมงเศษที่เราคุยกัน เสียงโป๊กเป๊กของสากและครกกระทบกันตลอดไม่ได้หยุด คนสามคนหลังเคาน์เตอร์ครัววิ่งวนทำและเสิร์ฟจ้าละหวั่น ไม่มีทีท่าว่าจะสร่างซา คนกินมีทั้งตรงดิ่งมาที่ร้าน และที่สั่งจากดิลิเวอรี่ เป็นเครื่องการันตีความอร่อยของซอฟต์พาวเวอร์แบบอีสาน รสชาติของบ้านเกิด แม้ไม่แท้แต่ก็อบอุ่น แม้ยังไม่ปรุงแต่งสร้างสรรค์ก็ยังคึกคัก นี่อาจเป็นดีเอ็นเอแท้ๆ ของอาหารอีสาน เป็นรสชาติของความสุขเมื่อได้มารวมตัวกัน กินด้วยกัน พูดคุยกัน
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต