
บทบาทใหม่ “พันชนะ วัฒนเสถียร”
ปั้นสื่อออนไลน์ “Khaoyai Connect” ปักหมุดเขาใหญ่สู่สายตาโลก
1.
ในแวดวงการท่องเที่ยวน้อยคนที่จะไม่รู้จักชื่อของ “เตเต้-พันชนะ วัฒนเสถียร” หญิงแกร่งหัวใจใหญ่ วัย 55 ปี นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ ผู้ที่เป็นทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้าในการผลักดันให้เขาใหญ่เป็นหมุดหมายที่ใครๆ ก็อยากมาเยือน
ในห้วงเวลา 4-5 ปีมานี้ ในฐานะนายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ คุณเต้ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างหนัก เพื่อผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เกิดในพื้นที่มาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมทำงานขับเคลื่อนชุมชนคนอยู่อาศัยให้เตรียมพร้อมเดินหน้าเข้าสู่กระแสการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน
“เรารักที่นี่ รู้สึกว่าที่นี่ คือ เรือนตาย ดังนั้นเมืองที่เราอยากอยู่ เราก็ต้องมีส่วนร่วมในการดีไซน์เมืองถูกไหม” น้ำเสียงและสายตาเด็ดเดี่ยวตอบคำถามถึงความรู้สึกที่มีต่อเขาใหญ่
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก คุณเต้-พันชนะ วัฒนเสถียร นี่คือเรื่องราวฉบับย่อของหญิงสาวที่พูดเสมอว่า “เชื่อในพลังของคนตัวเล็ก” เธอมีเส้นทางชีวิตที่หักเหอยู่ตลอดเวลา และก็น่าสนใจทุกการเปลี่ยนแปลง
จากทนายความสู่การทำฟาร์มผัก จากนั้นไปทำงานหนังสือกับมูลนิธิอมตะในตำแหน่งผู้อำนวยการกองศิลปวัฒนธรรมและสื่อสิ่งพิมพ์ ก่อนจะกระโจนเข้าสู่ถนนสายธุรกิจทำร้านอาหาร ก่อร่างสร้าง “เป็นลาว” จนขึ้นแท่นร้านอาหารอีสานสุดแซบของเขาใหญ่ การันตีโดยมิชลิน(บิบ กูร์มองต์) 2 ปีซ้อน
ล่าสุดกับบทบาทนักพัฒนาในตำแหน่งนายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ที่ยังคงทำงานหนัก และกำลังปั้นสื่อของตัวเองในชื่อ “Khaoyai Connect” หมายเชื่อมโยงทุกสรรพชีวิตในเขาใหญ่เข้าด้วยกัน ต่อเป็นภาพหุบเขาแห่งความสุขที่ครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมนำเสนอสู่สายตาโลก
2.
หญิงสาววัยกลางคนผมสั้น ท่าทางทะมัดทะแมงที่นั่งพูดคุยอยู่ตรงหน้าขณะนี้ เริ่มพบกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตตั้งแต่วัยเพียงสามขวบ ในบรรดาพี่น้อง 6 คน เด็กน้อยตาแป๋วถูกขอไปเลี้ยงที่บ้านของคุณหญิงแม่กุสุมา พรหมผลิน นางสนองพระโอษฐ์ และคุณพ่อหมอนันทวัน นี่อาจจะเป็นหนึ่งสาเหตุที่เมื่อเติบโตขึ้นมาเธอจึงไม่ยี่หระต่อความเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
“เราเกิดกรุงเทพฯ ตอนเล็กๆ ถูกขอไปเป็นลูกเลี้ยงของครอบครัวคุณหญิงแม่กุสุมา และคุณพ่อหมอนันทวัน ก็เลยทำให้เราเป็นคนที่ย้ายบ้านบ่อย อยู่กับใครก็ได้ กลายเป็นเด็กที่ต้องเข้ากับใครก็ได้ ปรับตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็มีโลกของตัวเอง ตอนเด็กๆ หัดเขียนไดอารี่ เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เริ่มจากการ์ตูนเล่มละบาท ได้ตังค์มาก็วิ่งไปซื้อหนังสืออย่างเดียว พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกเองเท่าไร ตอนนั้นพ่อเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลอยู่สงขลา จนเราเริ่มโตก็ย้ายอยู่มัธยมที่สาธิตรามฯ คุณพ่อกับคุณแม่หย่ากัน ก็กลับมาอยู่ที่บ้านสลับอยู่กับป้า”
ช่วงที่ย้ายกลับมาอยู่บ้านตอนมัธยมต้นนี่เองที่ทำให้ลูกสาวได้คลุกคลีกับผู้เป็นพ่อ นิสัยใจคอหลายอย่างจึงคล้ายคลึงกันมาก เรียกได้ว่าเป็นลูกพ่ออย่างแท้จริง
บิดาของคุณเต้ เกิดในปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ถือเป็นลูกอีสานคนแรกจากพื้นที่ไกลปืนเที่ยง อำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา ที่ได้มีโอกาสเข้าศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางผ่านเขาใหญ่ด้วยเกวียนข้ามดงพญาไฟ (ปัจจุบันคือดงพญาเย็น) กำแพงธรรมชาติสูงใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามของนักเดินทางในอดีต กั้นระหว่างสระบุรี-นครราชสีมา-ลพบุรี คุณพ่อเรียนดีระดับได้รับทุนจากรัฐบาลไทย กระทรวงยุติธรรม ไปศึกษาต่อปริญญาโท คว้าปริญญาโทมาได้หลายใบทั้งที่มิชิแกน และ วิสคอนซิน โดยได้ปริญญาโทใบสุดท้ายที่ Harvard Law School เมื่อกลับมาเมืองไทยก็ตั้งใจทำงานใช้ทุนจนครบ จึงลาออกมาตั้งวิทยาลัยนิติธรรม แต่โชคร้ายที่สายป่านสั้น ทำให้ต้องประสบกับการล้มละลาย ด้วยความเป็นคนไฟแรง นอกจากจะเป็นนักกฎหมาย อาจารย์พิเศษ ผู้พิพากษาแล้ว ช่วงหนึ่งยังเป็นนักเขียน มีคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์มติชนด้วย ชื่อ เรื่องเล่าจากฮาร์วาร์ด
“สมัยก่อนที่พ่อเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์มติชน เราเป็นโกสต์ไรเตอร์ให้พ่อด้วยนะ เราโตมากับบรรยากาศของการช่วยพ่อตรวจต้นฉบับ เราเป็นคนพิมพ์ดีดเร็ว นี่เป็นสกิลที่ภูมิใจถึงทุกวันนี้ แล้วได้ติดตามพ่อไปสอนที่รามฯ ด้วย ฉะนั้นเราโตมากับบรรยากาศแบบนี้ จะเห็นพ่อทำงานมาตลอด เราถูกปลูกฝังเรื่องการลงมือทำ ด้วยความที่คุณพ่อจบอเมริกา เขาจะสอนลูกให้ดีเบทกันตลอด ทุกคนจะมี 1 เสียง 1 ความคิดเห็น แล้วคุณพ่อเป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส ท่านจะชอบพูดวรรคทองของท่านพุทธทาสที่บอกว่า การงานคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ ฉะนั้นหน้าที่ก็คือการปฏิบัติธรรม ถ้าเราเชื่อว่าเราทำการงาน เราก็ปฏิบัติธรรมไปในตัว และก็ฝึกฝนไปในตัว เราก็เลยเป็นมนุษย์ที่มีความเชื่อในเรื่องนี้ว่าการทำงานก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง”
3.
ด้านการศึกษาคุณเต้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและปลายที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มอาชีพแรกด้วยการเป็นทนายความอิสระ ออกท่องยุทธจักรฝึกฝนวิชาตามสำนักกฎหมายหลายแห่ง โดยแห่งสุดท้ายปักหลักที่สำนักกฎหมายของ “วิโรจน์ พูนสุวรรณ” ศิษย์เก่าลอว์เฟิร์มระดับโลก ซึ่งมีฐานะเป็นรุ่นพี่ที่จุฬาฯ ด้วย
“ที่เลือกเป็นทนายว่าความ เพราะรู้ว่าตัวเองรับราชการไม่ได้ ปากไม่ค่อยดี คือ เป็นคนอย่างนี้ ตรงไปตรงมา ถ้าไปรับราชการอาจจะอายุไม่ยืน” อดีตทนายความสาวนั่งเล่าย้อนวันวานอย่างอารมณ์ดี
เป็นเวลา 5 ปีเต็มที่หญิงสาวเปี่ยมอุดมการณ์อุทิศชีวิตให้กับการว่าความสู้เพื่อผู้อื่น จนเกิดความเครียดส่งผลต่อการดำเนินชีวิต จึงตัดสินใจยุติการเป็นนักกฎหมายลงเพียงเท่านั้น
“ตอนเป็นทนายความรับอาสาว่าความได้ทั้งแพ่ง อาญา ลักวิ่งชิงปล้นทำได้หมด แต่ที่ไม่ทำคือคดีข่มขืนอันนี้ไม่ไหว คดีศาลครอบครัวก็ไม่ค่อยชอบ ช่วงเป็นทนายได้เห็นอะไรเยอะ แต่ที่รู้ว่าตัวเองเป็นต่อไม่ได้ เพราะกระดูกไม่แข็งพอ เวลาคุณเป็นทนาย คุณต้องรู้สึกเป็นนักสู้นะ เป็นผู้ปกป้อง และจะรู้สึกว่าต้องสู้เพื่อคนอื่นตลอดเวลา แล้วตอนนั้นยังเด็กอายุน้อย มันอินมาก เรื่องคนอื่นคือเรื่องของเรา ยังแยกแยะไม่ได้ ก็เกิดความเครียด และรู้สึกว่าไม่สนุก แล้วมีวันหนึ่งไปขึ้นศาล เห็นทนายผู้หญิงสูงอายุ ซึ่งตอนนั้นเขาอาจจะแค่ 50 กว่า แต่เรารู้สึกว่า ถ้าเราแก่จะเป็นแบบนี้เหรอ มันดูไม่ค่อยเท่(ยิ้ม) คือ มันเป็นความรู้สึกตอนนั้นที่รู้สึกว่า เอ๊ะ มันไม่เห็นเหมือนโจดี้ ฟอสเตอร์ที่เราดูในเรื่อง The silence of the lambs เลย เรากลับไปบ้านน้ำตาไหล รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนอาชีพ ไปบอกพ่อ พ่อก็โกรธ แล้วเราก็เปลี่ยนอาชีพจริงๆ (ยิ้ม)”
คุณเต้เล่าว่า ด้วยความบังเอิญจังหวะที่อยากเปลี่ยนงานก็มีลูกความฝรั่งคนหนึ่งจะมาตั้งฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์ที่สุวินทวงศ์ ชื่อฟาร์มจีที เทคโนโลยี เขาเสนอตำแหน่งโปรเจ็คต์เมเนเจอร์ให้ เราเลยบอกว่าถ้าให้เงินเดือนเท่ากับที่ได้เท่าตอนทำกฎหมายก็จะไป เขาก็ให้ เราก็ไปเป็นโปรเจ็คต์เมเนเจอร์เลย
“ตอนนั้นอายุ 25 ปี รู้สึกว่าตัวเองบ้าระห่ำมาก แล้วสมัยนั้นเป็นยุคน้าชาติที่นักลงทุนเข้ามา การร่วมทุนเยอะไปหมด เศรษฐกิจรุ่งเรือง เงินดี พอเขาเสนอเงินให้ เราก็เห็นโอกาสใหม่ แล้วลึกๆ ตัวเองก็สนใจธุรกิจการเกษตร เพราะอย่าลืมว่าพ่อเป็นคนอีสานอำเภอบ้านเหลื่อม เป็นที่ที่แล้งมาก เราไปบ้านย่าแต่ละทีรู้สึกว่าแห้งแล้ง รู้สึกว่าทำไมเกษตรกรไทยยากจนข้นแค้น ก็เลยลองกระโดดมาทำธุรกิจเกษตรดู”
4.
ปิดฉากอาชีพนักกฎหมายสู่ผู้จัดการโปรเจ็คต์ฟาร์มผัก ถือเป็นความท้าทายใหม่ของหญิงสาวชื่อพันชนะ แต่กลับสร้างความผิดหวังอย่างรุนแรงให้ผู้เป็นพ่อ ที่วาดหวังให้ลูกสาวหนึ่งเดียวที่จบกฎหมายเดินตามรอย สุดท้ายพ่อโกรธมากถึงขั้นไม่คุยกัน 5 ปี!
“เราเป็นคนที่ใครว่ายังไงไม่ค่อยสนใจ จะทำอะไรก็ทำ เรานี่เหมือนเป็นหมูเป็นหมาไม่กลัวน้ำร้อนนะ มีความรู้สึกว่าชีวิตมันไม่ค่อยมีต้นทุน คือ ตั้งแต่ไหนแต่ไร เราโตมากับพื้นหลังที่ครอบครัวประสบปัญหาตลอด พ่อแม่หย่ากัน พ่อล้มละลาย คือ มันผันผวนตลอดเวลา ย้ายบ้านนับรวมกันประมาณ 20-30 ครั้งได้ เราก็เลยไม่ค่อยยึดติดกับอะไร แล้วก็ไม่กลัว ฉะนั้นพอมาทำฟาร์มก็คือการเรียนรู้ใหม่”
ฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์ที่คุณเต้ได้รับมอบหมายให้ดูแล ถือว่าทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เป็นฟาร์มผักที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI เป็นแห่งแรกของประเทศไทย นายทุนเป็นนักกฎหมายมาจากฮ่องกง ใช้เงินลงทุนสูงประมาณ 3 ล้านเหรียญ หรือเกือบ 100 บ้านบาท ซึ่งถือว่าเป็น Over investment แต่เป้าหมายของฟาร์มสร้างเพื่อเป็นงานวิจัยที่จะขยายผลต่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะตั้งใจให้เป็นฟาร์มต้นแบบ
คุณเต้อยู่กับงานฟาร์มผักได้ 5 ปี ก็ถึงเวลาสิ้นสุดของอาชีพอีกครั้ง เหตุผลคือหน้าที่การงานโตไวเกินไป ก่อให้เกิดความเครียดสูงระดับต้องไปพบจิตแพทย์
“เราทำมาเรื่อยๆ จนเข้าปีที่ 4 ของฟาร์ม ก็เท่ากับปีที่ 9 หลังจากเรียนจบ เราก็เริ่มรู้ตัวว่ากำลังจะบ้า เหมือนเป็นถั่วงอกที่โตเร็ว เครียด เริ่มกินยาหาหมอ เริ่มอารมณ์รุนแรง นายทุนฝรั่งบอกว่าเราต้องไปหาหมอ ซึ่งสมัยก่อนการไปหาหมอโรคจิตถือว่าไม่ปกติ เราก็ไปหาหมอ กินยา แล้วก็วนลูปเดิม ก็เลยเลิกดีกว่า”
นอกจากการพบจิตแพทย์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยทางจิตใจของคุณเต้ คือ การที่ครั้งหนึ่งของชีวิตหลังเรียนจบรับปริญญา ได้มีโอกาสไปสวนโมกข์ ทันได้พบท่านพุทธทาสก่อนจะมรณภาพ 1 ปี เป็นช่วงเวลาที่ได้สัมผัสว่าความสงบเย็นที่แท้จริงเป็นอย่างไร
“ยังรู้สึกว่าการไปสวนโมกข์ คือเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต คุณจะไม่รู้ว่ามันเย็นจนกว่าคุณรู้สึกร้อนที่สุด คุณถึงจะมี Benchmark ในการเปรียบเทียบ เหมือนทุกข์กับสุข ตอนมาอยู่ฟาร์ม เราเครียดเรื่องการบริหาร เรายังกระดูกอ่อน อายุยังน้อยต้องวิ่งขายเองทุกอย่าง เครียด ก็รู้ตัวเองว่าไม่ไหว เตรียมถอย จุดที่ถอย คือ เรารู้สึกว่าอารมณ์ร้าย ขี้โมโห ซึ่งปกติเราไม่เป็น”
5.
ถนนสายใหม่กับ “มูลนิธิอมตะ”
เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง ประตูอีกบานจะเปิดขึ้นเสมอ เป็นจริงดังนั้น จังหวะที่กำลังจะเบรกจากงานฟาร์ม หญิงสาวที่จวนระเบิดเต็มทีเพราะความเครียดก็ได้พบกับคุณวิกรม กรมดิษฐ์ นักธุรกิจหมื่นล้าน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักร “อมตะ”
ดั่งสุภาษิตจีนกล่าวไว้ “การพบกันนับว่าเป็นวาสนา” เฉกเช่นที่โชคชะตานำพาให้คุณเต้พบกับคุณวิกรมเพื่อสานต่อภารกิจงานเขียนที่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอมตะนครเริ่มค้างไว้ แต่ยังจบไม่ลง นั่นคือการทำหนังสือ “ผมจะเป็นคนดี”
แม้จะไม่เคยทำหนังสือมาก่อน แต่ทั้งชีวิตที่ได้คลุกคลีอยู่กับหนังสือมาตลอดก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าของอาณาจักรอมตะไว้เนื้อเชื่อใจให้อดีตทนายความสาวช่วยสานต่องานนี้ให้จบ
“เราช่วยทำต้นฉบับ “ผมจะเป็นคนดี” อยู่ 3 ปี ตอนนั้นคุณวิกรมอายุ 50 พอดี เปิดตัวหนังสือที่พลาซ่าแอทธินี ช่วงนั้นเลยได้รู้จักกับนักเขียนหลายคน คุณอาประภัสสร เสวิกุล คุณอาวิมล ไทรนิ่มนวล ที่มาช่วยอ่านช่วยรีไรท์ ซึ่งช่วงที่เขียนต้นฉบับนี่เอง ที่คุณวิกรมจะมาเขาใหญ่ มาสร้างบ้านที่นี่ เราก็ได้ติดตามมา และเป็นช่วงที่คิดเรื่องเปิดร้านอาหารเป็นลาว”
คุณเต้เล่าว่า ช่วงที่ได้มาเขาใหญ่บ่อยๆ ตอนนั้นเขาใหญ่เพิ่งได้มรดกโลก ตนเองซึ่งตอนนั้นเริ่มเป็นผู้จัดการมูลนิธิอมตะแล้วก็เริ่มมีความสนใจประเด็นสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่า และคุณวิกรมเองก็อยากจะปรับปรุงพัฒนาให้เขาใหญ่ขึ้นสู่ระดับโลก ตอนนั้นจึงได้ทำงานใหม่ๆ ตลอดเวลา
อีกหนึ่งประสบการณ์อันแปลกใหม่และยากจะลืมระหว่างการทำงานที่มูลนิธิอมตะ คือ โครงการคาราวานข้ามทวีปช่วงปี 2011-2013 ที่แต่ละครั้งใช้เวลาเดินทางยาวนานนับแรมปี โดยปีแรกเป็นเส้นทาง GMS Sub Region ปีที่ 2 มองโกเลีย และปีที่ 3 ไซบีเรีย ซึ่งการออกคาราวานแต่ละครั้งต้องใช้ความอึดเป็นอย่างมาก จนครั้งไปไซบีเรียที่เส้นทางทรหดเหลือหลาย คุณเต้ถึงกับล้มป่วยต้องส่งกลับเมืองไทยกะทันหัน เมื่อรักษาตัวหายดีแล้วก็กลับไปเข้าคาราวานต่อจนจบทริป
มาถึงปีที่ 4 มูลนิธิอมตะวางแผนจะไปหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ต้องใช้เวลาในการเดินทาง 1 ปี หญิงสาวผู้จัดการมูลนิธิถึงกับต้องทบทวนและได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า...ไม่น่าจะไหว และช่วงเดียวกันนี้ ร้านเป็นลาวที่ทดลองเปิดขึ้นตอนปี 2009 ประสบปัญหาหลายเรื่อง จึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากมูลนิธิอมตะเพื่อมาโฟกัสร้านอาหารอย่างจริงจัง
ถือเป็นการปิดฉาก 17 ปี กับมูลนิธิอมตะลงอย่างสมบูรณ์ แล้วหันมาหมายมั่นปั้น “เป็นลาว” ให้แจ้งเกิดให้ได้
6.
เดินเครื่องร้านอาหาร “เป็นลาว” เต็มสูบ
เป้าหมายแรกของการเปิดร้านเป็นลาว คือ อยากสร้างงานให้คน เพราะในระหว่างที่คุณเต้ทำงานที่มูลนิธิอมตะนั้น ฟาร์มผักปิดตัวลง ลูกน้องเก่าหลายคนเดือดร้อนถึงขั้นมาร้องห่มร้องไห้ขอให้ช่วยเหลือถึงเขาใหญ่ คุณเต้นึกออกเพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่จะสร้างงานให้คนคราวละหลายคน คือ การเปิดร้านอาหาร ในปี 2009 ร้านเป็นลาวจึงถือกำเนิดขึ้นมา
“ตอนนั้นเขาใหญ่เริ่มมีสถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนเยอะ แต่เราก็รู้สึกว่าปากประตูสู่อีสานมันต้องกินอาหารอีสานนะ จึงมาลงตัวที่ร้านอาหารอีสาน”
ส่วนชื่อเป็นลาวได้มาจากไหนนั้น คุณเต้บอกว่า เพราะมีโอกาสได้ทำงานกับ อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ ช่วงที่อมตะมีส่วนสนับสนุนในการทำเรื่องสถาบันสุวรรณภูมิ เราก็เลยถือว่าเป็นลูกศิษย์ อ.สุจิตต์ ประมาณว่าพลังลาวพลังอีสาน แล้วก็ได้อ่านหนังสือศิลปวัฒนธรรม อ่านไปอ่านมาจำได้ว่าพ่อเคยบอกว่าย่าทวดมาจากเวียงจันทน์ เราก็อ้าว...เรานี่ลาวแท้ๆ เลยตั้งชื่อว่าเป็นลาว ในสมัยนั้นก็ถือว่ากล้าหาญนะที่ใช้คำนี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ทั่วไปแล้ว
คุณเต้บอกว่า อีกเหตุผลที่เปิดร้านอาหาร เพราะคิดถึงอนาคตตัวเองว่าถ้าแก่ไปคงเดินตามนายไม่ไหว และประเทศไทยก็เริ่มพูดเรื่องการเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว ดังนั้นควรต้องมีสักอาชีพหนึ่งให้เราทำได้จนแก่ แต่ไม่ได้คิดเรื่องการประสบความสำเร็จอะไร คิดแค่สร้างงานให้ลูกน้องให้ชุมชน และเราได้มีอะไรทำตอนแก่
“เพราะเราเป็นคนไม่เคยคิดเรื่องความร่ำรวย แต่จะชอบทำงาน จึงมีความกระตือรือร้นตลอดเวลา แล้วเป็นมนุษย์ที่แบบไม่คิดเยอะ คือไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายนะ มันจะตัดสินใจได้เร็ว ซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่บังเอิญว่าใน S Curve ของปี 2009 ร้านเป็นลาวมันดังขึ้นมา ตอนเราไปออกรายการ SME ตีแตก”
แต่นั่นก็เป็นเพียงกระแสวูบเดียว เพราะธรรมชาติของเขาใหญ่ในสมัยก่อนไม่ได้บูมเหมือนแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอื่นๆ ที่ปราบเซียนกว่านั้น คือ ช่วงเวลาทำเงินมีเพียง 30 วัน จาก 365 วัน
“ช่วงปี 2014 เราเจอมรสุมทางการเงิน มีเรื่องฟ้องร้องกับหุ้นส่วน ชีวิตเละเทะเลย เครียดมาก แทบจะเป็นไบโพลาร์ เช้าหัวเราะเย็นร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ช่วงเดียวกันนี้คือช่วงที่ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากมูลนิธิอมตะ ก็เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต”
แต่ด้วยกำลังใจจากเพื่อนฝูงที่พร้อมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือทางการเงินให้ และเมื่อนึกถึงลูกน้องกว่า 40 ชีวิตก็ทำให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ฮึดขึ้นอีกครั้ง ผลปรากฏว่ารอบนี้ร้านไปได้ดีมีเงินสดเข้าทุกวัน จากที่ใจแฟบก็ฟูขึ้นมา
คุณเต้เล่าว่า ช่วงปี 2015 ร้านไปได้ดี เป็นเวลาที่พร้อมจะเรียกหุ้น จึงเริ่มจากไปจดทะเบียนบริษัทชื่อ "On The Plateau” เป็นชื่อที่ “อาจารย์สุดแดน วิสุทธิลักษณ์” ตั้งให้ แปลได้ 2 ความหมาย คือ “ที่ราบสูง” กับ “บนจาน” ต่อมาแตกไลน์ธุรกิจเป็นร้าน “Unyangkordai by เป็นลาว” ได้เสียงตอบรับดีเกินคาด เปิดขายแฟรนไชน์ขยายไปไกลถึงลาว สิงคโปร์ และล่าสุดปี 2024 ที่จากาต้าร์ อินโดนีเซีย
“ถึงวันนี้เป็นลาวก็เติบโตมา 16 ปีแล้ว เรายังโตต่อเนื่อง มีไปเปิดสาขาที่พระราม 2 และหัวหิน ส่วนปีนี้มีแผนจะเปิดที่ราชพฤกษ์ และ มองๆ ที่เชียงใหม่เอาไว้ ก็มีแผนเติบโตอย่างยั่งยืน บวกกับที่เราขยายธุรกิจส่วนตัว คือ ฟาร์มผัก ร้านอาหารบ้านเธอ และล่าสุด ร้าน So good & green”
7.
“คน” สั้นๆ คำเดียวจากปากของผู้เป็นเจ้าของร้านเป็นลาว เมื่อถามว่าอะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้เดินมาถึงวันนี้
“เราให้ประโยชน์ทั้งหมดกับคนที่ช่วยกันสร้างเป็นลาวมาด้วยกัน คนตัวเล็กๆ นี่แหละ ที่เขาอาจจะไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาและของเรามันใช่กันไหม แต่ว่าเขาอยู่แล้วเขามีความสุข ฉะนั้นเป็นลาวก็เลยไม่ค่อยมีการเทิร์นโอเวอร์พนักงาน ยกเว้นตาย”
กระทั่งในยุคที่ AI เข้ามาแทนที่หลายสิ่ง แต่คุณเต้ก็ยังเน้นคน?
“เราจะพูดอย่างนี้นะ เวลาเราทำอะไรแล้วเกิดความสงสัย หรือเหนื่อย หรือนู่นนี่นั่น ให้กลับไปคิดก่อนว่าเราทำมันทำไม ให้คุณกลับไปคิดว่าจุดเริ่มต้นของคุณตอนจะทำเรื่องนั้นๆ คุณอยากทำเพราะอะไร อย่างเป็นลาวเราไม่เคยสงสัยเลย เพราะรู้ว่าตั้งมันขึ้นมาเพื่อเป็นที่สร้างงานให้กับคนและตัวเราเอง มันท้าทายนะ ตอนนี้เรา 55 ปี ถ้าเราอยู่ถึง 80 ปี เราต้องอยู่อีก 25 ปี เราต้องมีเงินเก็บเท่าไร ซึ่งไม่มีไง คำตอบคือไม่มี ใช้หมดเลย เดินทางก็ขนาดนี้ แล้วก็ลงทุนสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ด้วยความเชื่อสิ่งแวดล้อม สังคม บ้าบอสารพัด ฉะนั้นเราต้องทำอะไรที่สามารถอยู่กับมันได้ตลอดชีวิต หนึ่งในนั้นคือธุรกิจอาหารที่ชอบ อย่างที่บอกว่าเราทำอาหารไม่เป็น แต่เรารู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่ดี ที่สร้างงานให้กับคน รวมถึงตัวเราด้วย”
คุณเต้บอกถึงแนวคิดอีกว่า เป็นลาวไม่ใช่อาหารอย่างเดียว แต่มันคือมีเดีย คือเอาท์เลทที่เราอยากจะบอกคนว่าถ้าเรามีความเชื่อในเรื่องคนตัวเล็ก การให้ระหว่างทางเราไม่ต้องรอ แต่คุณต้องสร้าง เรามีความเชื่อว่าประเทศที่มันเข้มแข็งเกิดจากฐานของเอสเอ็มอีคนตัวเล็กที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ปล่อยให้คนตัวใหญ่โตเอาๆ เราว่าเราเป็นขบถแบบนั้น เราเชื่อในเรื่องคนตัวเล็ก
“ด้วยความที่ชอบอ่านงานปรัชญาอย่างรพินทรนาถ ฐากูร อมาตยา และคาลิล ยิบราน ทำให้มีความรู้สึกลึกๆว่าอยากเป็นนักการเมือง อยากพัฒนา อยากเปลี่ยนแปลงสังคม เราเหมือนเป็นคนขวางโลก อ่านหมอเมืองพร้าว เราโตมากับฟิลลิ่งแบบนั้น ทีนี้โครงสร้างของสังคมไม่ได้เอื้อให้คนตัวเล็กเติบโต แล้วยังอยู่บนความเสี่ยง คุณภาพชีวิตสวัสดิการสังคมก็ไม่มี เราก็ต้องคิดว่าจะสร้าง Social gain ได้ยังไง คือจะไปทำแบบนักลงทุนก็ไม่ใช่เรา แล้วนักลงทุนก็คงไม่สนใจหรอก ไอ้การเติบโตแบบหอยทากแบบนี้ ใช่มั้ย แบงค์ไม่มีวันให้เงินกู้ เราโตมาขนาดนี้เราเข้าใจว่าการเติบโตของเป็นลาวไม่ง่าย โชคดีที่เรามีผู้ถือหุ้นที่ดี พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งเป็นลาว ต่อให้วันนี้เรามีหุ้นส่วนใหม่ๆ เข้ามาในสาขาอื่นๆ เราก็ยังคิดว่าดีเอ็นเอของเป็นลาวและวัฒนธรรมองค์กรเราก็เป็นสิ่งสำคัญ เราต้องทำยังไงให้เขาเข้าใจเรา แต่เราเองก็ต้องผันผวนและเติบโต โต้ไปกับโลกเหมือนกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือความเปลี่ยนแปลง”
8.
ล่าสุดเปิดสื่อของตัวเองในนาม Khaoyai Connect เป้าหมายต้องการผลักดันให้เขาใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในระดับนานาชาติ
“ต้องบอกว่า Khaoyai Connect เนี่ย ไม่ได้เกิดจากองค์ลงนิมิตใดๆ หรอก แต่ว่าตัวเองได้เข้าไปทำงานให้กับเมือง เป็นอาสาสมัครของเมืองเรื่องโคราช เอ็กซ์โป และมาเป็นนายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ ก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่ขาด ก็คือการสื่อสารในระดับโลก คือเราชอบเรื่องเล็กๆ เราชอบทำงานกับคนตัวเล็ก เรื่องเล็กที่มีคุณค่าต่อโลก แล้วเราก็รู้สึกว่าชีวิตเราเหลือน้อยแล้ว เราผ่านการเฉียดตายมาหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเจ็บป่วย อุบัติเหตุ โดนทรายดูดก็มี ชีวิตโหดมาก ก็เลยชวนน้องที่รักกันมาทำโปรเจ็คต์หนังสือ เพราะมองว่าเขาใหญ่ยังขาดพาร์ทของศิลปะ ความรู้ อะไรแบบนี้ ทำไปทำมาก็ไม่รู้ว่าสปาร์กกิ้งจอยกันตอนไหน เลยมาเป็น Khaoyai Connect อยากทำเป็นเว็บไซต์ 2 ภาษา ซึ่งโอเคมันเป็นความบ้าระห่ำมาก ท่ามกลางที่คนบอกว่ามันจะอยู่ไม่ได้”
คุณเต้อธิบายการทำ Khaoyai Connect เพิ่มเติมว่า เบื้องต้นก็คือการนำเสนอเขาใหญ่สู่โลก เพราะคนต่างชาติไม่รู้จักเขาใหญ่ ดังนั้นการปักหมุดเขาใหญ่สู่โลกจึงเป็นความฝันของเรา
“ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ นักท่องเที่ยวที่มาเขาใหญ่ กับนักท่องเที่ยวที่มาในประเทศไทยนี่น้อยมาก ส่วนนักท่องเที่ยวที่ขึ้นอุทยาน 2 ล้านคน เหลือมาเที่ยวพื้นที่อื่นๆ ของเขาใหญ่แค่ 5% คือ 1 แสนคนเท่านั้น ยิ่งถ้าเทียบกับนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนที่เดินทางมาประเทศไทย ยิ่งถือว่าน้อยมาก ถ้าประเทศเราผลักดันให้ต่างชาติมาอีสานมากขึ้น คุณไม่ต้องพูดอะไรเลย เศรษฐกิจมันจะดีขึ้นอัตโนมัติ เป็น Quick Win อย่างแท้จริง ตอนนี้มันเกิดมีโอเวอร์ทัวริสซึ่มในภูมิภาคต่างๆ แต่ไม่เกิดขึ้นในภาคอีสาน เราพูดประจำในทุกเวทีว่าจากสนามบินสุวรรณภูมิไม่มีป้ายบอกทางมาอีสานเลยแม้แต่น้อย ป้ายโฆษณาก็ไม่มี เราส่งออกวัฒนธรรมอีสานผ่านปลาร้าผ่านอาหาร แต่เรื่องอื่นน้อยมาก โอเคหมอลำก็เริ่มแล้ว แต่ถ้าเราพูดถึงตัวโปรดักซ์ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ เราไม่เคยอยู่ในซีน แต่ในวันที่โลกหมุนวนกลับมาเรื่อง Climate Change เรื่องสิ่งแวดล้อม อย่าลืมว่าเขาใหญ่เป็นมรดกโลก เรายังใช้ความเป็นมรดกโลกไม่เต็มที่เลย”
คุณเต้บอกว่า การทำ Khaoyai Connect เป็นจุดเริ่มต้นของการที่เริ่มทำสิ่งที่อาจจะไม่ได้ตอบประโยชน์ทางธุรกิจ แต่มันเป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่เรามองเห็นว่าสังคมมี Social Pain อะไรบางอย่างที่เราอยากทำให้เป็น Social Gain แน่นอนมันต้องใช้ทุน แต่เราก็เป็นคนที่ชื่นชมวิธีคิดแบบนายธนาคารเพื่อคนจน โมฮัมหมัด ยูนุส เราก็รู้สึกว่ามันเป็นทางออกที่ดี ก็เลยคิดว่าทดลองสักตั้งนึงก็ไม่เสียหาย เพราะคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาใหญ่จะออกสู่สายตาโลก
9.
เขาใหญ่มีดีที่ไหน?
“เขาใหญ่มีดีที่คน ต้องเข้าใจก่อนว่าคนปากช่องคือคนที่มาจากทุกที่ ยกเว้นใครที่อาจจะอยู่มาตั้งแต่แรกเป็น 100 ปี นอกนั้นมาจากทุกสารทิศ เพราะว่าเมื่อก่อนตรงนี้มันเป็นแหล่งปศุสัตว์ ดังนั้นปากช่องคือนิวยอร์ก คือ Melting Pot เป็นหม้อใบใหญ่ที่มาหลอมรวมคนทุกคนจากทุกทิศทุกทาง แล้วทุกคนมีความถนัดความชอบที่หลากหลาย”
ถ้าจะให้นิยามเขาใหญ่ คือ เมืองอะไร?
“ถ้าเฉพาะเขาใหญ่ คิดว่าเป็นหุบเขาแห่งความสุขนะ Happy Valley เรายกให้เป็นที่ที่มีความหลากหลาย ข้อดี คือ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แต่ก็ยังเห็นสีเขียว คุณอยู่แล้วจะไม่อยากไปไหน คือ ถ้าร้อนก็ร้อนไม่นาน ฝนตกแป๊บเดียวก็เขียว ฉะนั้นเราถึงต้องทำทุกอย่างที่เราจะทำได้เพื่อการพัฒนาเมืองของเรา และปกป้องไม่ให้สิ่งแวดล้อมเสียหรือพัง เพราะสุดท้ายถ้าเมืองมันยังดี สิ่งแวดล้อมดี ธุรกิจมันก็จะดี อาหารดี อากาศดี อารมณ์ดี ธุรกิจดี คนก็มีความสุข”
คุณเต้บอกว่า ในช่วงชีวิตที่ยังพอมีแรง ถ้าทำได้เราควรจะช่วยกันพัฒนาเขาใหญ่ นักธุรกิจต่างๆ ที่มาอยู่ที่นี่ก็เช่นกัน เพราะถ้าเขาใหญ่เดือดร้อน เราทั้งหมดก็จะอยู่ไม่ได้ ทุกคนจะได้รับผลกระทบหมด เพราะเราต่างเชื่อมโยงกัน ดังนั้นทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“เราไม่ใช่จุดศูนย์กลางของโลกหรอก ไม่ต้องห่วง เราเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ การที่เรามาเป็นอาสาสมัครของเมือง มาผลักดันขับเคลื่อนเรื่องเมืองไมซ์ งานโคราชเอ็กซ์โป เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่ยั่งยืน และถูกทิศถูกทาง คิดว่าในช่วงชีวิตที่ยังพอมีแรง และทำได้ก็ควรทำ แล้วเรารู้สึกดีทุกวันที่อยู่เขาใหญ่ การได้เห็นชีวิตที่เติบโตของลูกหลานพนักงาน ทุกคนมีบ้านมีรถมีเงินทอง ทุกคนมีความมั่นคงในชีวิต เขารู้สึกในระดับหนึ่งว่าไว้ใจเราได้ นี่คือ Trust ระหว่างกัน ดังนั้นถึงแม้เราจะไม่ได้เกิดที่นี่ แต่เราคิดว่าเราอาจจะตายที่นี่ ถ้าไม่ตายระหว่างทางก็อาจจะต้องตายที่นี่ ความรู้สึกเป็นแบบนี้”
บทสนทนาจบลงแล้ว มวลของความหวังก้อนมหึมายังลอยค้างนิ่งอยู่ในอากาศที่เริ่มอบอ้าวหลังฝนตกเดือนมิถุนายน ซึ่งอีกไม่นานก็จะเย็นลงเมื่อเวลาเย็นย่ำมาถึง เฉกเช่นผู้คนในเขาใหญ่ แม้ทุกคนจะผ่านความยากลำบากมาเพียงใด ความหวังและความฝันก็จะเป็นจริงในวันหนึ่ง…ในหุบเขาแห่งความสุขแห่งนี้
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต