
การเปลี่ยนแปลงในสังคมทำได้ด้วยการเป็นอาจารย์
แต่ต้องเป็นอาจารย์ที่เก่งละรวยมากด้วย
ดร.สรวิศ ลิ้มโอภาส พูลสวัสดิ์ หรือที่เพื่อนเรียกว่า “ผม” อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ คณะวิทยาการจัดการ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ เรียนจบปริญญาเอกด้าน Nonprofit Organization Management ดังนั้นวิชาที่สอนอยู่ในปัจจุบันก็คือ Nonprofit On Fund Rising, Volunteer Management, Local Administration Management และสอนกี่ยวกับ HR และ AI ด้วย ส่วนที่เป็นความชอบส่วนตัวที่สอนอีกก็คือ Diversity Management ซึ่งตรงกับวิสัยทัฒน์ของมหาวิทยาลัยพอดี เลยได้สอนในสิ่งที่ตัวเองสนใจอย่างเต็มที่ เรียกว่าได้ปล่อยของเลยทีเดียว และยังมีสอน Innovation Management for Sustainability ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกับความสนใจ วิชาเหล่านี้ไม่ตรงกับสาขารัฐประศาสนศาสตร์สักเท่าไร แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเล็งเห็นมิสชั่นแล้วว่าสำคัญกับภาครัฐและนักศึกษา ก็เลยให้เปิดสอน
นอกจากนี้ผมยังเป็นอาจารย์พิเศษ สอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ของวิทยาลัยสหวิทยาการ ที่นี่สอนเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ โดยโฟกัสไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น การท่องเที่ยวสำหรับคนมวลรวม เช่น ผู้พิการ LGBTQ ศาสนา เพศ วัยต่างๆ การท่องเที่ยวยุคใหม่ การสร้างการท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น การสร้างพื้นที่ฮิปสเตอร์ในมาเลเซีย การเปลี่ยนเมืองเก่าเป็นเมืองใหม่ การลงทุนของเมืองสร้างใหม่ (Man Made Town) ในสิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็คือ การท่องเที่ยวที่ผ่านเลนส์ของการพัฒนา (Development) ซึ่งก็ไม่ต่างจากงานด้าน Nonprofit ที่ผมเรียนมา ซึ่งสามารถใช้เลนส์ในด้านการพัฒนามองและวิเคราะห์ได้เช่นกัน
งานสอนเยอะขนาดนี้จัดการเวลาในชีวิตยังไง เพราะต้องทำธุรกิจควบคู่กันไปด้วย
ถือได้ว่าชีวิตลงล็อคพอดี เพราะว่างานสอนที่ ม.สงขลานครินทร์ และที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สอนคล้องกับงานที่บริษัทออนอาร์ตที่ผมทำในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ ดูแลแอคเคานท์ที่เป็น Nonprofit ทั้งหมดและองค์ระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) และโครงการของภาครัฐที่เกี่ยวกับการพัฒนาทั้งหมด เช่น ผู้ประกอบการ OTOP ผมก็เข้าไปช่วยวางกลยุทธ์ทั้งหมด แต่ด้วยความที่บริษัทออนอาร์ตทำงานเป็นพีอาร์เอเยนซีเป็นหลัก เพราะฉะนั้นทุกโปรเจ็กต์ที่เราทำก็จะบวกไปกับการประชาสัมพันธ์ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญของออนอาร์ต การเปลี่ยนเวลาขายแอลกอร์ฮอร์ สร้างความเท่าเทียมต่างๆ ก็ใช้ออนอาร์ตเข้าไปทำทั้งหมด
ตอนนี้ขยับอะไรไม่ได้แล้ว เพราะงานสอนกับงานที่ต้องประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐของไทยและของสากลพอดีกับเวลาชีวิตที่มีอยู่ทั้งหมดตอนนี้ จริงๆ แล้ว ม.ลาดกระลัง ก็มาชวนไปสอนเหมือนกัน แต่ว่าไม่สามารถหาเวลาให้ได้แล้วจริงๆ ก็เลยต้องปฏิเสธแบบสวยๆ ไป
อ้อ... ยังมีงานหนึ่งคือเป็นกรรมการของสมาคมนักธุรกิจ LGBTQ Thai ซึ่งสมาคมนี้ร่วมก่อตั้งกับเพื่อนมาเกือบสองปีแล้ว แต่ด้วยความที่แต่ละคนยุ่งมาก ก็เลยยังไม่มีความก้าวหน้าอะไรมาก แต่ว่าจดทะเบียนแล้ว วางแผนนโยบายเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญได้ใบรับรองจากอเมริกาแล้ว เพราะว่าที่นั่นมีหอการค้า LGBTQ ของโลก
แล้วมีผลกระทบขนาดไหนกับที่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรอบนี้
ก็กระทบแน่นอน ถึงแม้กว่าโลกจะหมุนไปทางไหน ผมก็จะหมุนสวน ยืนยันว่าจะทำในแบบของเราเหมือนเดิม เพราะประเทศไทยก็เพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมมาไม่นาน
จุดประสงค์ของการก่อตั้งสมาคมนักธุรกิจ LGBTQ Thai คืออะไร
ตอนที่มีคนชักชวนให้ก่อตั้งสมาคมนี้ขึ้น ตอนนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมยังเป็นร่างอยู่เลย แต่เพื่อนๆ กับผมมองกันเลยไปแล้ว เราเชื่อว่ากฎหมายผ่านแน่นอน เพราะเรามองว่าความยั่งยืนและความเท่าเทียมไม่ใช่แค่เรื่องของมนุษยชนอย่างเดียว แต่ความยั่งยืนที่แท้จริงของกลมกลืนไปกับความร่ำรวยหรือเงินได้ เพราะโลกใบนี้หมุนไปได้ด้วยเงินหรือธุรกิจ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เพราะถ้าคุณจับสถาบันการเงินหรือโครงสร้างทางสังคมที่เอาเงินนำได้เมื่อไร นั่นแหละคือความยั่งยืนที่แท้จริง เพราฉะนั้นจึงเริ่มทำเรื่องความเท่าเทียมทางเพศที่ผูกและเน้นธุรกิจที่เกี่ยวกับ LGBTQ อย่างเดียวเลย แล้วเราจะเอาสิ่งไปเข้าไปในตลาดทุน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดด้านความยั่งยืนในสังคม ในขณะเดียวกันก็จะกระตุ้นให้นักธุรกิจเข้ามาซัพพอร์ตงานด้าน LGBTQ Economy มากยิ่งขึ้น เพราะประเทศไทยจะเป็นศูนย์กวางอย่างแน่นอน เพราะเราผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมไปแล้ว อย่างเช่น งานด้านการแพทย์ ก็จะมีคู่ LGBTQ เข้ามาผ่าตัดแปลงเพศ เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ ทำธุรกิจแต่งงาน หรือการรับรองบุตร ทำโรงเรียน หรือธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับคนในอนาคต ที่เป็นครอบครัวสมัยใหม่ที่เรียกว่า All Type of Modern Family ซึ่งพอกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน ธุรกิจเหล่านี้ก็จะแตกแขนงไปอีกมาก ธุรกิจประกันชีวิต โรงเรียน บริษัททัวร์ การจัดงานแต่ง กลุ่มสมาชิกของสมาคมเราก็จะเริ่มทำกันเป็นที่แรกเลย คือเราไม่ได้มองที่ความเท่าเทียมแล้ว แต่มองเลยไกลออกไป และสมาคมของเรา กลุ่มของเราเป็นกลุ่มแรกที่ทำเรื่องนี้ คือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็น LGBTQ ก็ได้ แต่ธุรกิจของคุณต้องมีลูกค้าเป็น LGBTQ มีผู้ที่มีส่วนร่วมเป็น LGBTQ ซึ่งทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในสมาคมนี้ได้ มาห่าความรู้ มาสร้างโอกาสไปด้วยกันได้ เพราะสุดท้ายเราหลบเลี่ยงไม่ได้ ทุกอย่างเกี่ยวข้องกันไปหมด ธุรกิจสายการบิน งานมหาสงกรานต์ ลองคุดดูว่าปีหนึ่งๆ งาน Pride ที่จัดขึ้นทุกปีมี LGBTQ มาเข้าร่วมจำนวนตั้งมากเท่าไร ซึ่งผู้ชายกล้ามโตๆ เหล่านี้มาจากทั่วโลก ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ อย่างงาน Pride ที่ไต้หวันมีคนไปเป็นแสนคนทุกปี ค่าโรงแรม ค่าตั่วเครื่องบิน ค่ากินค่าอยู่ ผับบาร์ รายได้เกิดขึ้นมากมายเท่าไรไม่รู้ ผมเองก็ไปงานนี้ทุกปี เราต้องมาช่วยกันวางหมากยาวเลยว่า ตลาดหลักทรัพย์ต้องรับรองเลยว่า ในอนาคตมีสิทธิเศา ตัวชี้วัด ถ้าคุณต้องวัดความเท่าเทียมทางเพศ ทรานส์เจนเดอร์มีสิทธิ์ลาผ่าตัดแปลงเพศไหม ถ้าคุณเป็นโสดลาได้ไหม สวัสดิการที่ได้คืนคืออะไร อะไรคือตัวชี้วัด ซึ่งเราต้องวางแผนกันระยะยาวไปเลย จะ 5 ปี หรือ 10 ปีก็ว่าไป ทำให้ถูกกฎหมาย
ที่สำคัญเรื่องเหล่านี้ เราต้องเอาเงินนำ ไม่เอาเงินนำไม่ยั่งยืน
ถ้าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 150 อันดับแรกทำได้เมื่อไร LGBTQ มีเงินกินทั้งประเทศ นั่นแหละคือความยั่งยืน และสุดท้ายบริษัทนั่นแหละที่ได้กำไร
ประเทศไทยเรามีจำนวน LGBTQ จำนวนมหาศาลและสร้างเม็ดเงินจำนวนมาก
ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้เลย แต่ว่าความจริงแล้ว คำว่า “กะเทย” มันของส่วนหนึ่งของซอล์ฟพาวเวอร์เมืองไทยเลย แต่ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้เลย ถ้าคุณไปถามชาวต่างชาติว่า “ขอ 3 คำเกี่ยวกับเมืองไทย” พวกเขาตอบเลยว่า “ส้มตำ กะหรี่ กะเทย” ต้องติดโผมาแน่นอน นี่คือซอล์ฟพาวเวอร์ของแท้ที่ไม่ต้องดัดแปลงอะไรเลย
คือเราก็ต้องให้ความรู้คนเรื่องความหลากหลายให้มากขึ้นด้วยหลังจากนี้ เพื่อนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจ LGBTQ
คือหลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว บอกได้เลยว่าทำไมบริษัทออนอาร์ตถึงทำงานในเรื่องของประชากรศาสตร์ อย่างที่ไปร่วมมือกับ UNFPA แบบไม่เอากำไร หรือทำงานกับบางโครงการและหน่วยงานที่เราได้เพียงค่าแรงพนักงาน แต่ไม่มีกำไรบริษัท เพราะคืองานที่เรามองว่า “จำเป็น” ที่ต้องทำ เพื่อช่วยผลักดันประเด็นเหล่านี้
ตอนที่ผมได้ยิน UNFPA พูดเรื่อง All Type of Modern Family ขึ้นครั้งแรก บอกได้เลยว่า เราจะไม่คุยเรื่องสมรสเท่าเทียมอีกต่อไปแล้ว ประเด็นนี้ไปไกลกว่ามาก เพราะโครงสร้างครอบครัวของคนรุ่นใหม่เป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอีกต่อไป เพราะนี่คือครอบครัวของคนรุ่นใหม่ เหมือนที่ผมถูกรับเลี้ยง (Adopted) จากคุณป้า ผมก็เป็นลูกของคุณป้า ซึ่งแบบนี้คือครอบครัวของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเราต้องคุยกันมากขึ้น ถกเถียงกันมากยิ่งขึ้น อย่างโรงเรียนไทยจัดงานวันพ่อวันแม่ก็มีการถกเถียงกันเรื่องนี้มากขึ้น เพราะตอนนี้สังคมไทยของเรากำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนา เพราะพิธีกรรมแบบนี้กำลังถูกรื้อสร้าง (Deconstruction) และสร้างขึ้นใหม่ (Construction) แต่ไม่มีใครมาคุยกันแบบจริงจังว่าเหตุการณ์นี้คืออะไร และกำลังจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ถ้ารัฐบาลเป็นผู้ออกมาพูดว่าตอนนี้สังคมเปลี่ยนเป็นแบบครอบครัวของคนรุ่นใหม่ จะสายเลือดเดียวกันหรือไม่ต้องก็ได้ จะสมบูรณ์แบบหรือไม่ต้องสมบูรณ์แบบล้วนไม่มีอยู่จริง แค่ยอมกับในเรื่องของการเป็นครอบครัวของคนรุ่นใหม่
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นประเด็นหลักที่คุณใช้ในการดำเนินชีวิต
ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครับ ทั้งงานสอน งานบริษัท และงานสมาคม เพราะจริงๆ แล้วล้วนคือเป้าหมายเดียวกันคือ “งานด้านการพัฒนา”
จริงๆ แล้วสิ่งที่เหล่ามานี้สามารถรวบรวมเขียนเป็นหนังสือหนึ่งเล่มที่น่าสนใจได้เลย
อยากทำมากครับ เป็นความฝันที่อยากทำมาตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ติดอย่างเดียวคือตอนนี้ไม่มีเวลาเลย แต่ก็ค่อยๆ เริ่มแล้ว โดยเฉพาะอยากเขียนหนังสือท่องเที่ยว ประสบการณ์ในลอนดอน เรื่องความเผ็ชแซ่บของตัวเอง อยากจะเล่าอยากจะบรรยายอออกมา โดยจะให้นามปากกา “แม่บ้านเพลินจิต” ส่วนที่เป็นหนังสือจริงจัง โดยเฉพาะเรื่อง Nonprofit ในเมืองไทยยังไม่มีเลยสักเล่ม เพราะผมเองตอนนี้ก็ทำได้แค่สอนเด็ก แต่คนที่อยู่ในองค์กรเอ็นจีโอและคนที่ทำงานด้านมูลนิธิของไทย เพราะพวกเขาไม่มีแหล่งข้อมูลที่เป็กหลักการให้เขาจริงๆ อาจารย์คนอื่นๆ ที่จบมาด้านนี้ก็ไม่มีใครเขียนเรื่องนี้
เส้นทางด้านงานวิชาการใสนอนาคตของคุณวางไว้อย่างไรบ้าง
บอกได้เลยว่าผมไม่ได้อยากเป็นศาสตราจารย์ แต่ผมอยากเป็นอาจารย์ที่วิชาการแน่น คนรู้จัก แต่ผลงานทางสังคมมีชื่อเสียงมากกว่า คือผมจะทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศ ทำงานกับภาครัฐ ให้ความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ด่วนเฉพาะหน้ากับสื่อได้ และที่สำคัญคือ “อยากรวย” เพราะฉะนั้นผมจะมาสายนี้เลย ทำงานสมาคมนักธุรกิจ LGBTQ เข้าทำงานในสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน จะมาทางนี้ และไม่ไปทางศาสตราจารย์เด็ดขาด ดังนั้นในอนาคตก็อยากจะออกหนังสือ เพื่อสร้างฐานคนอ่านที่เป็นแฟนของตัวเอง เพื่อมาสนับสนุนงานด้านต่างๆ ที่ตัวเองทำอยู่ในเป็นที่รู้จักมากขึ้น
อะไรคือรากฐานที่ทำให้สนใจเรื่องเกี่ยวกับภาคสังคมต่างที่นำมาเป็นทั้งวิชาการสอน เป็นทั้งเข็มทิศชีวิตของตัวเอง
ถ้าจะให้นึกว่าอะไรคือรากฐานความคิดนี้ก็ต้องยกให้ป้าเต้เลยครับ ตั้งแต่อยู่มัธยมแล้ว ป้าเต้จะให้ขึ้นมาฝึกงานที่มูลนิธิอมตะ ทำให้เราเห็นว่างานฝั่งบริษัททำงานอีกแบบหนึ่ง งานมูลนิธิทำอีกแบบหนึ่ง งานบรัทมีความเครียดมาก ส่วนงานมูลนิธิชิลล์มากกว่า ทำงานกับศิลปิน นักเขียน บวกกับคุณตาที่บ้าน แม้ท่านจะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังทำงานเพื่อสังคมอยู่ตลอดเวลา ช่วยวัดช่วยชุมชน ทำให้เราเห็นว่างานด้านการพัฒนาอยู่ใกล้ตัวมาก ซึ่งนี่เป็นแรงบันดาลใจฝั่งครอบครัว
ทีนี้พอเริ่มทำงาน เริ่มงานแรกที่หอการค้าอเมริกัน ซึ่งเขาชอบจัดงานเวิร์กช้อปหรือทอล์กในประเด็นต่างๆ เดือนหนึ่งๆ 20 กว่าเวที และมีงานหนึ่งที่ผมชอบมาก ก็คืองานด้านซีเอสอาร์ขององค์กรธุรกิจ ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองคงมาด้านนี้แน่นอน คือไม่ซีเอชอาร์ ก็พัฒนา หรือไม่ก็แชร์ริตี้
หลังจากนั้นก็ไปสมัครงานที่มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย งานที่นี่ยิ่งตอกย้ำว่าตัวเองเลือกสิ่งที่ชอบได้แล้ว ซึ่งโชคดีที่ได้รับผิดชอบโปรเจ็กต์ที่หลากหลายในสายซีเอชอาร์ทั้งหมด และได้ทำงานเองทั้งโปรเจ็กต์อยู่งานหนึ่งก็คือ Thailand NGO Awards ที่ได้รับเงินสนับสนุนการจัดงานจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ นิวยอร์ก งานนี้ทำอยู่ 3 ปี ก็เลยสนิทสนมกับเอ็นจีโอของไทย เดินทางไปอบรมทั่วทุกภูมิภาค ก็เลยเป็นการคอนเฟิร์มว่างานที่ทำอยู่นี้เป็นงานที่มีความสุขที่สุด ไปช่วยสอนเขาเรื่องการระดมทุน เรื่องการทำงานอาสาสมัคร ไปช่วยชมรมคนตาบอด ช่วยมูลนิธิคิดแผนการทำงานว่าทำอย่างไรไม่ให้ขาดทุน ทุกอย่างล้วนเป็นงานที่เราชอบ คือให้เราไปอยู่ในฝั่งธุรกิจนี่ไม่เอาเลย ไปเป็นเซลล์ ไปขายแอดโฆษณาที่เพื่อนๆ ทำอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าได้เงินเยอะ แต่ใจเราไม่เอาเลย แต่พอเป็นงานด้านมูลนิธิ ได้อ่าน ได้ช่วยดูอะไรเก๋ๆ ลงทุนแบบนี้เก๋จัง ไอซ์บั๊กเก็ตอันนี้เก๋มาก คิดอะไรก็เป็นงานด้านนี้ไปหมด ก็เลยแน่ชัดกับตัวเองว่าชอบงานด้านนี้
แล้วพอดีกับที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ สกอ. ซึ่งเป็นทุนของรัฐบาลเปิดให้สมัคร และมีสาขา Nonprofit พอดี ตอนไปสอบเจอคนนั่งอ่านหนังสือกันอยู่หน้าห้องสอบ ผมเครียดเลย งงว่ามีหนังสืออะไรให้อ่าน เพราะเราทำงานด้านนนี้มา 3 ปี ไม่เคยรู้เลยว่ามีหนังสือที่เกี่ยวกับงานด้านนี้ สรุปผมสอบได้ เป็น 1 ใน 3 ของผู้สอบชิงทุนได้ในปีนั้น ก็เลยได้ไปเรียน Charity Management ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แมรี่ ลอนดอน
แสดงว่าตอนที่สอบชิงทุนได้ก็รู้ตัวเองแล้วว่าเรียนจบกลับมาก้ได้เป็นอาจารย์แน่ๆ
คือผมรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าอยากเป็นอาจารย์ก็เลยมาสมัครสอบ เพราะเรารู้สึกว่าอาจารย์เป็นอาชีพที่ไม่มีเจ้านาย และมีอิสระในการทำงาน ไม่ต้องตอกบัตรเข้าออก ตอนสอบติดก็มีภาพขึ้นมาทันทีว่าตัวเองจะเป็นอาจารย์แบบไหน และยังมีภาพของการทำบริษัทอิมพลีเมนเทชั่น หรือบริษัทที่ปรึกษา เพราะว่าสองงานนี้สามารถทำคู่กันไปได้
จะเห็นว่าอาจารย์ดังๆ ส่วนใหญ่ทำแบบนี้กันทุกคน ถ้าไม่เอาเงินเข้ามหาวิทยาลัย ก็เปิดบริษัทรับงานเองเลย ทุกคนทั้งมีชื่อเสียง ทั้งมอบโอกาสที่ดีให้ผู้อื่น และทำเงินได้ด้วย เรารู้สึกว่าเส้นทางชีวิตแบบนี้ดีจัง เลยอยากดำเนินรอยตาม
แล้วการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในเมืองไทย ไม่ต่างจากการเป็นผู้พิพากษา ถ้าคุณวางตัวดี เขียนหนังสือ สอนหนังสือ หนึ่งคือคุณจะมีเกียรติ สองคือคุณจะมีกองทัพของตัวเอง ซึ่งก็คือลูกศิษย์ของเราเอง เราสร้างคนในกองทัพปีละ 300-400 คน สร้าง 10 ปี มี 5,000-10,000 คน ผมมองว่าถ้าเราอยากจะซัพพอร์ต Nonprofit Sector ในเมืองไทย ต้องสร้างคนอย่างเดียว เติมคนเข้าในระบบอุตสาหกรรม ต้องรื้อสร้างใหม่ ใครจะแก้คนเก่าก็แก้ไป แต่จะเปลี่ยนอนาคต ต้องเติมกองทัพคนรุ่นใหม่เข้าไปแก้ปัญหา งานแบบนี้ต้องใช้เวลา และอาชีพที่ทำแบบนี้คื “อาจารย์” เท่านั้น
เหตุผลในอนาคตที่อยากย้ายมหาวิทยาลัยมาอยู่ส่วนกลางก็คงต้องเป็นเพราะเหตุผลเดียว คือการได้สอนระดับปริญญาโท เพราะจะทำให้การยกระดับการสร้างกองทัพคนรุ่นใหม่ทำได้เร็วขึ้น เพราะคนที่มาเรียนเป็นผู้บริหารแล้วทั้งนั้น มีความสามารถในการขับเคลื่อนสังคมกันอยู่แล้วทั้งนั้น ซึ่งจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ใน 3-5 ปี ซึ่งเร็วกว่า
จริงๆ วิธีคิดนี้ก็เหมือนพี่เต้ (คุณพันชนะ วัฒนเสถียร) เลยนะ
ผมก็เคยบอกกับป้าเต้ไปแล้วเหมือนกัน คือเราต่อยมวยเหมือนกัน แต่ในสังเวียนคนละแบบ อะไรที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติและสังคมได้ก็จะทำ
แล้วปริญญาเอกเรียนอะไร ยังคงเป็นสาขานี้ไหม
ปริญญาเอกผมด้านสังคมศาสตร์จบจากมหาวิทยาลัยอิสต์ ลอนดอน สาขาที่เรียนคือ NGO and Development Management in the International Context คือการบริหารและพัฒนาเอ็นจีโอในบริบทระหว่างประเทศ
ที่เลือกที่นี่เพราะว่าตอนเรียนปริญญาโท เขาจะเน้นแค่เรื่องการระดมทุนอะไรต่างๆ คล้ายๆ กับเรียน MBA เพียงแต่คือ วิชาบริหารของงานการกุศล แต่ปริญญเอกมอบเลนส์ด้านการพัฒนาให้ ซึ่งในความของการเป็นนักพัฒนาก็จะได้เรียนเรื่องโครงสร้างของสังคม โครงสร้างทางเศรษฐศาสตร์ ประเด็นความยากจน ความละเอียดอ่อนของเรื่องนั้น มีการวิพากษ์วิจารย์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการบริหารแล้ว แต่จะทำให้เราเป็นนักสังคมที่มองเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งทำให้เรามองโลกได้กว้างขึ้น ซับซ้อนขึ้น
ผมมองว่างานด้านสังคมศาสตร์มีทั้งจุดดีและจุดด้อย เพราะความหมายในตัวของมันเองกว้างมาก จะเรียกว่าเป็น “นักเล่นแร่แปรธาตุ” ก็ได้ อย่างงานวิจัยของผมก็ยืมเอาทั้งของมานุษยวิทยา สังคมวิทยา และนโยบายสาธารณะมาใช้ เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้ร่มของ “สังคมศาสตร์” ทั้งนั้น
เพราะเรามองว่า ปัญหาสังคมหนึ่งๆ ใช้เพียงเครื่องมือใดเครื่องหนึ่งแก้ไม่ได้ แต่การเล่นแร่แปรธาตุนี้ก็มีจุดอ่อนตรงที่ว่าแล้วเราจะไปสู้นักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาจริงๆ ได้อย่างไร
งานวิจัยปริญญาเอกทำเรื่องอะไร
งานวิจัยของผมทำเรื่องที่ง่ายมากๆ “การดูวิธีเลือกคนจนของมูลนิธิไทยที่ทำงานร่วมกับบริษัทข้ามชาติ”
เข้าไปดูว่ามูลนิธิต่างๆ เช่น การให้ทุนนักเรียนนักศึกษา หรือว่าการช่วยเหลือผู้ชราภาพที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เป็นกลุ่มเป้าหมายของมูลนิธิต่างๆ ที่พยายามไปหาเงินมาช่วยเหลือเพื่อให้คุณภาพของกลุ่มคนเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งผมค้นพบว่า การที่เขารับเงินด้านซีเอชอาร์จากบริษัทข้ามชาติ เช่น อีเกีย พูเดนเชียล หรือแม้กระทั่งซิตี้แบงก์ เขาอาจจะเลือก “คนจน” ที่เป็นเป้าหมายในการช่วยเหลือที่แตกต่างกันไป
ดูเหมือนง่าย แต่ก็ทำไป 6-8 ปี เพราะมีการใช้ทฤษีความยากจน ทฤษฎีผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งผมใช้ศาสตร์ของปิแอร์ บูร์ดิเยอ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเข้ามาวิเคราะห์ ก็ค้นพบว่า การเลือกคนจนของมูลนิธิต่างๆ ใช้ข้อมูลด้านทุนทางสังคม ซึ่งสุดท้ายคนจนจริงๆ ไม่ได้รับเลือก เพราะทุนทางสังคมไม่ถึง
จริงๆ แล้วน่าจะมีโจทย์จากบริษัทข้ามชาติเหล่านั้นอยู่แล้วหรือไม่ในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย
จริงๆ แล้วบริษัทที่ให้ทุนมาก็ดีนะ แต่การทำงานของเอ็นจีโอเองนี่แหละ ที่ต้องการผลชี้วัดที่ดี เนื่องจากเงินเหล่านี้เป็นเงินทุนหลักในการบริหารมูลนิธิ ถ้าผลลัพธไม่ดี ก็อาจชวดทุนในปีถัดไป เพราะคนจนบางคนช่วยยังไงก็ไม่ดีขึ้นจริงๆ
สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าโปรเจ็กต์เหล่านี้กรอบของตัวเอง เลยไม่สามารถทะลุถึงโครงสร้างทาวงสังคมจริงๆ ได้ เพราะโครงสร้างของแต่ละโปรเจ็กต์มีตัวชี้วัดหรือกรอบอีกแบบหนึ่ง ทำให้งานของเอ็นจีโอที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในสังคม คนจนก็ยิ่งจนลง คนรวยก็ยิ่งรวยขึ้น
คณะกรรมการที่ตรวจสอบงาวิจัยยังบอกเลยว่า งานวิจัยนี้ใหญ่มาก เพราะเป็นการเล่นกับหัวใจของงานด้านการพัฒนา เล่นกับผลประโยชน์ของจนคน และยังบอกอีกว่าทำไมคนจนถึงไม่ถูกเลือก ซึ่งมันคือคำตอบของนิยายการพัฒนาทั่วโลก ว่าทำไมมันถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้
แบบนี้นี่เอง ความยากจนถึงยังไม่ถูกขจัดให้หายไปได้สักที
มันก็คล้ายกับการรักษามะเร็ง เบื้องต้นก็ต้องช่วยให้กลุ่มนี้หายใจได้ก่อน อีกกลุ่มก็ไปช่วยหเขาไม่มีโอกาสเป็นมะเร็ง คือเหมือนการให้ยาคนละแบบ สุดท้ายก็มีหลายแนวคิดระบุว่า “คนจนเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างประเทศ” ซึ่งก็จริง
ง่ายๆ เลย ดูจากดอกเบี้ยเงินฝากของประเทศไทย อย่างมาก็ 0.25-1.00 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดเท่านี้ แต่เงินกู้เริ่มที่ 7 ไปจนถึง 24 เปอร์เซนต์ต่อปี ส่วนที่สิงคโปร์และมาเลเซียดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 3-5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเงินกู้อยู่ที่ 4-8 เปอร์เซ็นต์ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าประเทศของเราถูกออกแบบมาให้คนรวย ทำให้คนจนต้องจนดักดาน บ้านราคา 2 ล้าน ผ่อน 30 ปีก็ยังไม่หมด มีแต่ตายก่อน เพราะดอกเบี้ยปล่อยลอย 8 -20 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่รู้ตัว บางคนก็ไปกู้นอกระบบมาโปะอีก ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ แบบนี้เป็นเหมือนการสร้าง “ความยากจนดักดานโดยระบบ”
ไม่แปลกใจที่สิงคโปร์และมาเลเซียพัฒนาไปไกลมาก
คนที่ไปทำงานที่สิงคโปร์แทบไม่ยากจนเงินกลับ เพราะได้ดอกเบี้ยปีละ 7 เปอร์เซ็นต์ ใครจะไม่เอา เงินฝากประจำดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ที่ไทยอีก คนเขาเลยรวย มีแต่วางแผนเก็บเงิน เพราะไม่มีหนี้ ส่วนบ้านเรา ประเทศจนลงแต่ไหนก็ไม่รู้ แต่ธนาคารมีกำไรหมื่นล้านแสนล้านต่อปีทั้งนั้น
การแก้ปัญหาความยากจนจริงๆ แล้วทำได้ง่ายมาก คือ แก้ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้
สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ทั้งหมด การสอน การสร้างกองทัพ ความเชื่อของเราและการเปลี่ยนแปลง การทำงานกับกลุ่ม Nonprofit ทั้งหลาย มีจุดมุ่งหมายตอนี้และต่อๆ ไปอย่างไร
อยากสอนหนังสือไปเรื่อยๆ จนเกษียณ เพราะเป็นอาชีพที่ไม่เหงาดี เพราะตัวเองชอบพูดชอบเล่า ได้แบ่งปันความรู้ ส่วนงานบริษัทก็อยากเกษียณตอนอายุประมาณ 50 และอยากโยกเงินบริษัทฝั่งพีอาร์ไปลงธุรกิจอื่นที่เป็นสายงานการผลิตด้วย เพราะคิดว่าถ้าอยากจะรวยหรือมีกินไปมากกว่านี้ต้องปลี่ยนแปลง เพราะทำพีอาร์ทุกคนอยากจะเจอหน้าเรา แต่ถ้าเป็นการผลิตสินค้าอะไรสักอย่าง เราสามารถให้ทุกอย่างรันไปเองได้ ถึงจะเลี้ยงตัวเองได้ตอนแก่ ที่เหลือก็เป็นที่ปรึกา เป็นบอร์ดอะไรก็ว่าไป
จริงๆ ไม่ได้คิดอะไรเยอะเลย ทุกอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทพีอาร์ งานมูลนิธิ หรืองานสอน ก็เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาอยู่แล้ว ขอเพียงได้มีโอกาสทำให้พื้นที่หรือชุมชนที่อยู่ใกล้ตัวเราน่าอยู่มากขึ้น แค่นี้ก็พอแล้ว
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Khaoyai Connect