
เมื่อโลกสะเทือนจากนโยบายของทรัมป์
แล้วคนเขาใหญ่ควรคิดอย่างไร
คอลัมน์ “สมการโลกหมุน”
โดย ดร. สรวิศ ลิ้มโอภาส พูลสวัสดิ์ / มีนาคม 2568
โลกทุกวันนี้หมุนเร็วขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต เทคโนโลยีและอิทธิผลของโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยยะสำคัญในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคนแบบที่ปฏิเสธไม่ได้ อาทิ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) กำลังปฏิวัติโลกอย่างเงียบๆ คนที่ตามไม่ทัน หรือไม่สนใจที่จะตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจจะกลายเป็นคนที่เสียผลประโยชน์ เสียโอกาส หรือกลายเป็นกลุ่มเปราะบางของสังคมโดยไม่รู้ตัว
การหมุนเร็วขึ้นของโลกที่เราอยู่ในปัจจุบันนั้น หลายๆ ครั้ง เราเองก็ไม่ได้ทันสังเกตว่า อะไรที่เกิดขึ้นไกลตัว อาจสะเทือนมาถึงเรามากกว่าที่คิด และเร็วกว่าที่คาด หรืออย่างหลายคนเชื่อว่า “การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมือง” หรือ “นโยบายของประเทศมหาอำนาจไม่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรา” แต่ในความเป็นจริง ทุกการเปลี่ยนแปลงบนเวทีการเมืองโลก มีแรงสั่นสะเทือนที่กระทบไปถึงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในทุกมุมโลก รวมถึงชุมชนเล็กๆ ในแผนที่โลกที่รักของเรา ที่ดูเหมือนจะเงียบสงบอย่าง เขาใหญ่
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่กำลังเป็นที่จับตาของโลกรายวันในตอนนี้ คือ นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ได้หวนคืนเวทีทางการเมืองเป็นสมัยที่สอง และกลับมาพร้อมนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สั่นสะเทือนโลกอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนา สิทธิมนุษยชน และพลังงาน ทุกอย่างล้วนเป็นตัวแปรที่อาจส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อโครงสร้างโลกที่เราอาศัยอยู่
ทว่าหลายคนยังมองว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องไกลตัว โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ สงบสุข และห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองหลวงอย่าง เขาใหญ่
คำถามคือ... เรามั่นใจได้จริงหรือว่า สมการโลกที่เปลี่ยนไปจะไม่มีผลกับตัวเรา? แล้วเราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาเยือนหน้าบ้านในเขาใหญ่เราได้อย่างไร?
งบงานพัฒนาและสิ่งแวดล้อมกำลังถูกตัด แล้วเราล่ะ?
หนึ่งในสิ่งที่ทรัมป์เริ่มทำเป็นสิ่งแรกๆ หลังได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คือการ ลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศ โดยอ้างว่า “เงินภาษีของชาวอเมริกันควรถูกใช้ในประเทศตัวเอง” ภายใต้นโยบาย “America First” ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของอเมริกา เหนือความร่วมมือระดับนานาชาติ
นโยบายนี้ส่งผลให้โครงการช่วยเหลือต่างประเทศหลายโครงการที่เคยได้รับทุนสนับสนุนจากอเมริกา ต้องเผชิญกับภาวะงบประมาณถูกตัด หรือถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งรวมถึงองค์กรระดับโลกที่ทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และการพัฒนา เช่น USAID (United States Agency for International Development) เป็นองค์กรที่เคยให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่างกว้างขวางในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงโครงการด้านอนุรักษ์ป่าไม้และระบบนิเวศในเอเชีย WHO (World Health Organization) องค์กรด้านสาธารณสุขที่เคยได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา แต่ถูกทรัมป์ประกาศให้อเมริกาถอนตัวจาก WHO ซึ่งเดิมอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนรายใหญ่ 1 ใน 5 และ UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change) กรอบความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมที่อเมริกาถอนตัวออกไป ส่งผลกระทบต่อโครงการสิ่งแวดล้อมทั่วโลก เป็นต้น
เพื่อนๆ ของผู้เขียนเองที่ทำงานในมูลนิธิ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และเอ็นจีโอที่เคยได้รับเงินจาก USAID อย่างต่อเนื่อง เริ่มได้รับผลกระทบจากสมการโลกใหม่ของทรัมป์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และตั้งตัวไม่ทัน
บ้างก็โดนให้ออกจากงานถาวร บางโครงการต้องปิดตัวอย่างกะทันหัน ผู้รับผลประโยชน์หลายๆ กลุ่ม เช่น นักเรียนทุนที่ USAID ส่งให้เรียนต่อ ต้องหยุดเรียนหนังสือกะทันหัน เก็บกระเป๋าออกจากหอพักกลับบ้านเกิดโดยยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลกระทบเปรียบเสมือนคลื่นสึนามิที่ซัดเข้ามาในชีวิตของคนไทยที่ทรัมป์ก่อขึ้นภายในไม่กี่วันหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
มากกว่านั่น ในวันที่รับตำแหน่งวันแรก ทรัมป์ประกาศว่าจะพาอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงปารีสเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นแนวคิดและการกระทำที่สวนกระแสความร่วมมือของนานาประเทศที่ทั่วโลกที่มีความพยายามตั้งเป้าหมายในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสำคัญในระดับวิกฤต ทั้งยังลดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการใช้พลังงานฟอสซิล เพื่อแก้ปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจของอเมริกาในระยะสั้นของทรัมป์ แต่อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสังคมโลกในระยะยาว
เขาใหญ่เองก็เช่นกัน...
ในอดีต USAID เคยมีโครงการสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าไม้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโครงการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ซึ่งมีผลต่อระบบนิเวศที่สำคัญในไทย แม้ว่าไทยจะไม่ได้พึ่งพาเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นหลัก แต่โครงการเหล่านี้เคยเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการ ส่งเสริมการอนุรักษ์ในพื้นที่ธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
คำถามคือ… ถ้าการสนับสนุนเหล่านี้หายไป เราจะเดินหน้าต่อได้อย่างไร? เราจะพึ่งพาตัวเองได้แค่ไหน หากวันหนึ่ง ประเทศมหาอำนาจของโลกไม่ช่วยเราอีกต่อไป? หรือเขาใหญ่และพื้นที่ธรรมชาติของไทยจะกลายเป็นต้นแบบของการอนุรักษ์ที่พึ่งพาตัวเอง โดยไม่พึ่งประเทศมหาอำนาจได้หรือไม่?
ความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิมนุษยชนถูกท้าทาย
หนึ่งในนโยบายที่ทรัมป์และพรรคของเขาผลักดันมาตลอด คือ การจำกัดสิทธิของผู้หญิงและชุมชน LGBTQ+ (โดยเฉพาะบุคคลข้ามเพศ) ผ่านการออกกฎหมายและแต่งตั้งบุคคลที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสรีภาพส่วนบุคคลในหลายระดับ
ล่าสุดหลังจากได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารให้สหรัฐฯ ยอมรับเพียง 2 เพศ คือชายและหญิง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเอกสารทางราชการและสิทธิต่างๆ ของประชาชน ทั้งยังลงนามออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงข้ามเพศเข้าแข่งขันในประเภทกีฬาสำหรับผู้หญิงอีกต่อไป
แม้เรื่องนี้จะดูเป็นประเด็นในประเทศของอเมริกา แต่กระแสอนุรักษนิยมในระดับโลก มักส่งผลต่อแนวคิดของประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ซึ่งเพิ่งเฉลิมฉลองกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เริ่มใช้ไปเมื่อ วันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา
ส่วนตัวผู้เขียนเอง มีความฝันและความเชื่อมั่นว่า ในอนาคตเขาใหญ่จะกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีนั่งท่องเที่ยวทั้งจากไทยและต่างประเทศเดินทางมาเยี่ยมเยียนและพักอาศัยในชุมชนของเรามากขึ้นในทุกๆปี
คำถามคือ… เราอยากให้เขาใหญ่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวแบบไหน?
หากกระแสอนุรักษนิยมระดับโลกกลับมามีอิทธิพล เขาใหญ่ยังคงเป็นเมืองที่ต้อนรับทุกคน เปิดกว้าง และเคารพความหลากหลายได้หรือไม่? ถ้าสิทธิของผู้หญิงและ LGBTQ+ ถูกลดทอนไปเรื่อยๆ เรายังจะเป็นจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยรู้สึกปลอดภัยได้หรือเปล่า?
ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกานี้ อาจจะยังดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเราโดยตรง แต่ทิศทางของโลกกับสมการใหม่ที่ทรัมป์กำลังเขียนขึ้นสามารถเปลี่ยนวิธีคิดและกฎหมายในประเทศอื่นๆ ได้เสมอ
หากวันหนึ่ง การท่องเที่ยวในไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากแนวคิดอนุรักษนิยม เราจะยืนหยัดเพื่อความเท่าเทียมที่เราเพิ่งเฉลิมฉลองหรือจะปล่อยให้กระแสอนุรักษนิยมพาเราไปในทิศทางเดียวกับโลก? โลกกำลังหมุนไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน แล้วเขาใหญ่จะเลือกเดินไปทางไหน?
หากกระแสอนุรักษนิยมระดับโลกกลับมามีอิทธิพล เขาใหญ่ยังคงเป็นเมืองที่ต้อนรับทุกคน เปิดกว้าง และเคารพความหลากหลายได้หรือไม่? ถ้าสิทธิของผู้หญิงและ LGBTQ+ ถูกลดทอนไปเรื่อยๆ เรายังจะเป็นจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยรู้สึกปลอดภัยได้หรือเปล่า?
ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกานี้ อาจจะยังดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเราโดยตรง แต่ทิศทางของโลกกับสมการใหม่ที่ทรัมป์กำลังเขียนขึ้นสามารถเปลี่ยนวิธีคิดและกฎหมายในประเทศอื่นๆ ได้เสมอ
หากวันหนึ่ง การท่องเที่ยวในไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากแนวคิดอนุรักษนิยม เราจะยืนหยัดเพื่อความเท่าเทียมที่เราเพิ่งเฉลิมฉลองหรือจะปล่อยให้กระแสอนุรักษนิยมพาเราไปในทิศทางเดียวกับโลก? โลกกำลังหมุนไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน แล้วเขาใหญ่จะเลือกเดินไปทางไหน?
เมื่อสมการโลกหมุน แล้วเราต้องหมุนตามหรือหมุนสวน?
สิ่งที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างพร้อมตั้งคำถามเพื่อฉุกคิดทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจดูไกลตัว แต่กลับสะท้อนให้เห็นว่า การเมืองโลกและการตัดสินใจของผู้นำประเทศมหาอำนาจสามารถเปลี่ยนทิศทางของโลกและชีวิตประจำวันของเราได้ในพริบตา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เราคิดว่าไกล อาจกระทบถึงเราเร็วกว่าที่คาด ไม่ใช่แค่ในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง หรือการทูต แต่ยังรวมถึงวิถีชีวิตและปากท้องของเราทุกคน
ถึงแม้ว่าเราควบคุมนโยบายของทรัมป์ไม่ได้ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าเรามีอำนาจในการกำหนดอนาคตของเราเอง
เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อเมริกา รัสเซีย และจีน ดูเหมือนว่ากำลังจะจับมือกันเพื่อแบ่งเค้กก้อนใหญ่บนโต๊ะ ประเทศไทยเป็นแค่ลูกสตอเบอรี่ลูกเดียวบนเค้กที่เขากำลังแบ่งและเลือกกิน (หรือคาย) เท่านั้น
แม้ว่าเขาใหญ่เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรอันมีค่าต่อประเทศไทย ทว่าเขาใหญ่ก็เป็นเพียงแค่ชุมชนป่าผืนเล็กๆ เศษเสื้ยวเดียวในแผนที่โลกเท่านั้น
แน่นอนว่าการกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกอาจไม่อยู่ในมือเรา แต่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าสิ่งที่อยู่ในมือเราคือ “ทางเลือก” ที่เราจะกำหนดให้กับชุมชนเขาใหญ่ของเราให้เป็นพริกขี้หนูที่สามารถแสดงให้ชาวโลกเห็นได้ว่า “เราก็มีสมการเป็นของเราเอง”
โลกจะเปลี่ยนไปทางไหน เราอาจควบคุมไม่ได้… แต่เราเลือกได้ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน เมื่อมันเปลี่ยนไปแล้ว
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต